กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 987

“ใต้หล้าเปลี่ยวร ้างที่เดิมทีเลื่อมใสความบริสุทธิ์และอิสระเสรีที่สุด เนื่องจากมีป๋ ายเจ๋อเพิ่มเข้ามา กลับกลายเป็ นว่าอาจเป็ นใต้หล้าที่ มั่นคงที่สุด ข้าได้ยินมาว่าทางฝั่งของดินแดนพุทธะสุขาวดี ฉานซือที่ เป็ นสายของการดูความคิดเป็ นหลัก กับลวี่ซือ (ภิกษุที่เชี่ยวชาญ เรื่องข้อบัญญัติทางด้านศาสนาและด้านการถ่ายทอดวิชาความรู้) ของลัทธิพุทธที่ถือศีลอย่างเคร่งครัด ต่างก็ใกล้จะกลายเป็ น สถานการณ์ของน้ากับไฟแล้ว บวกกับนิกายวัชรยานและนิกายฌาน รวมไปถึงฝ่ ายในของนิกายฌานที่มีต่อสังกัดหลักพระธรรมของภิกษุ ที่มีชื่อเสียงบางท่านในประวัติศาสตร ์ มีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน มาก เป็ นเหตุให้แต่ละฝ่ ายต่างก็เรียบเรียงล าดับท าเนียบวงศ์ตระกูล ของตัวเอง ต่างก็อยากจะดึงอีกฝ่ ายให้เข้ามาอยู่ในท าเนียบระบบสืบ ทอดของตัวเอง เพราะนี่จะเกี่ยวพันไปถึงตาแหน่งของระบบฌานที่ โดดเด่นสองสายในลัทธิพุทธว่าสรุปแล้วควรนั่งอยู่ตรงไหน แน่นอน ว่าไม่ใช่เรื่องเล็กอะไร ส่วนการประชันกันด้านหลักแห่งคาสอนที่มี ประวัติศาสตร ์ยาวไกลนั้น ช่วงพันปีที่ผ่านมานี้ แม้ว่ามีมังกรคชสาร ของลัทธิพุทธที่พยายามทาให้เส้นแบ่งเขตพร่าเลือนไป แต่ความ แตกต่างก็ยังไม่น้อย ผินเต้าท่องอยู่ในใต้หล้ามืดสลัวมานานหลายปี ความคิดว่า “ใต้หล้าทุกข์ทนเพราะอวี๋โต้วมานาน” ของนักพรตคน หนึ่งที่เดิมเป็ นความคิดที่ได้แต่เก็บไว้ในใจ เมื่อหลายปีก่อนได้คล้าย

น้าลดหินผุด เปลี่ยนจากความคิดในใจกลายมาเป็ นคาพูดอย่างหนึ่ง เริ่มค่อยๆ แพร่ไปทั่วหมู่เต้ากวานของสิบสี่มณฑล ดูเหมือนว่าทาง ฝั่งป๋ ายอวี้จิงเองก็ไม่ได้จงใจจะกดการวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องนี้เอาไว้ จึงมีเค้าว่าจะกลายเป็ นไฟป่าลามทุ่งแล้ว เจ้าควรต้องรู ้ว่าตอนนี้ไม่ใช่ เจ้าลัทธิลู่ที่นั่งพิทักษ์ป๋ ายอวี้จิง แต่เป็ นตัวอวี่โต้วเอง”

“วางใจเถอะ ไม่ว่าจะอย่างไร คนที่เป็ นอย่างผินเต้า เมื่อสามพันปี ก่อนหรือสามพันปีให้หลัง ก็ล้วนมีน้อยจนนับนิ้วได้”

ขยับเข้าใกล้ตีนเขา หลวี่เหยียนเอ่ยว่า “เจ้าขุนเขาเฉินไม่ต้องไป ส่งต่อแล้ว”

เฉินผิงอันจึงหยุดเดิน

หลวี่เหยียนยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “น้าไหลพันปี อ้อมคดเคี้ยวนับหมื่น ตลบไปตามขุนเขาเข้าวัดจุดธูป ออกจากประตูภูเขา ล้วนต้องอาศัย การฝึกตนของตัวเอง”

เฉินผิงอันพยักหน้า “คนร ้อยปีล่างภูเขามีใจหมื่นปี ผู้ฝึกตนบน ภูเขามีอายุขัยได้ยาวนานร ้อยปีพันปี คาว่าฝึกตนก็เป็ นแค่เรื่องของ จิตใจเท่านั้น”

หลวี่เหยียนถาม “ไม่ได้รับคาเชิญหรือ?”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “ต่อให้เชิญมา ข้าก็ไม่กล้าไป ใครจะ มาโน้มน้าวข้าก็ไม่ตอบตกลง”

หลวี่เหยียนกล่าว “นี่ก็เพราะว่าเจ้ายังไม่เคยพูดโน้มน้าวตัวเอง อย่างแท้จริง ดังนั้นใช ้เหตุผลมากไปก็ไม่ดี เจินเหรินกระดูกขาวเคยมี การเปรียบเทียบอย่างหนึ่ง บอกว่าเหมือนการตะลุมบอน การเลี้ยงกู่”

เฉินผิงอันครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง “เปรียบเทียบได้ดี”

หลวี่เหยียนคารวะตามขนบลัทธิเต๋า เอ่ยว่า “ครั้งหน้าที่พบเจอ กันก็คงต้องรบกวนให้เจ้าขุนเขาเฉินช่วยปกป้ องมรรคาให้ช่วง ระยะทางหนึ่งแล้ว”

เฉินผิงอันกุมหมัดคารวะกลับคืน “จะพยายามอย่างสุดก าลัง ความสามารถ จะไม่ท าให้ผู้อาวุโสต้องผิดหวัง”

หลวี่เหยียนใช ้ปลายแล้ปัดฝุ่ นชี้ไปที่ยอดเขา “เมื่อครู่สหายคง โหวได้ใช ้เสียงในใจเอื้อนเอ่ย เชื้อเชิญให้ผินเต้ามารับหน้าที่เป็ นรอง เจ้าขุนเขาภูเขาลั่วพั่วของพวกเจ้า แล้วยังพูดย้าๆว่าเป็ นความคิด ของนางเอง ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้าขุนเขาแน่นอน นี่ถือว่าเป็ นการ สืบทอดของหนึ่งสาย ไม่ต้องสนใจว่ามีพุทราหรือไม่มี ตีสามทีลอง ก่อนค่อยว่ากันหรือไม่?”

เฉินผิงอันยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน ได้แต่กุมหมัดอีกครั้ง “ล่วงเกินแล้ว ข้าขออภัยผู้อาวุโสแทนคงโหวด้วย”

หลวี่เหยียนโบกมือ “แค่ชินไปแล้วก็ดีเอง”

เฉินผิงอันใช้เสียงในใจถามว่า “ขอถามผู้อาวุโส วิชาหมัดของ หลินเจียงเซียนแห่งใต้หล้ามืดสลัวเป็ นเช่นไร?”

หลวี่เหยียนยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หลินซือท่านนี้ วิชาหมัดสูงมาก เวท กระบี่กลับสูงยิ่งกว่า”

เฉินผิงอันจึงไม่ถามอะไรต่อ

หลวี่เหยียนกล่าว “มอบยันต์อัคคีไปให้แผ่นหนึ่ง โชควาสนา ระหว่างผืนเต้ากับเฉินหน่วนซู่ก็ถือว่าสิ้นสุดลง วาดเครื่องหมายจบ ประโยคไว้แล้ว โชคดีที่ถือว่าเป็ นการเริ่มต้นที่ดีและจบลงด้วยดี ส่วน ในอนาคตโชควาสนาจะเป็ นเช่นไร ก็ปล่อยไปตามบุพเพวาสนาแล้ว กัน”

เฉินผิงอันพยักหน้า

หลวี่เหยียนเก็บแส้ปัดฝุ่ น กวาดตามองไปรอบด้าน เอ่ยว่า “เมื่อ ภูเขาแห่งหนึ่งต้องการให้ร ้อยบุปผาเบ่งบาน อย่าได้เงียบกริบเหมือน จักจั่นในหน้าหนาว หากกลายเป็ นว่าแต่ละคนเรียนรู ้จากใครก็ล้วน ยังเป็ นตัวของตัวเอง หญ้าหอมสิบก้าว อย่างไรก็ดีกว่าสูงเสียดฟ้ า เพียงต้นเดียว”

เสี่ยวโม่กล่าว “สหายฉุนหยาง อย่างอื่นไม่กล้าพูดมาก แต่ หลักการเหตุผลข้อนี้เท่ากับว่าท่านนักพรตพูดอย่างเสียเปล่าแล้ว ใน เรื่องนี้คุณชายของข้าทาได้ดีที่สุดแล้ว”

หลวี่เหยียนผงกศีรษะยิ้มรับ “ผินเต้าอยู่ในหมู่ชาวบ้านมาจนชิน แล้ว ก่อนจะจากไป ไม่โอ้อวดคากล่าวของยอดฝี มือที่มีกลิ่นอาย เซียนล่องลอยมักจะรู ้สึกว่ามีตรงไหนผิดปกติโปรดอภัย โปรดอภัย”

เสี่ยวโม่ยิ้มเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ขอเชิญให้นักพรตฉุนหยางมา เป็ นรองเจ้าขุนเขาของภูเขาลั่วพั่วพวกเรา เป็ นค าพูดจากใจจริง ไม่ได้เอ่ยไปตามมารยาทแน่นอน”

หลวี่เหยียนจุ๊ปากเอ่ยอย่างประหลาดใจ “ขนบธรรมเนียมของ ภูเขาลั่วพั่วพวกเจ้าร ้ายกาจจริงๆ มรรคกถาฉุนหยางบนร่างของผิน เต้ายังมิอาจต้านทานไว้ได้”

ตามกฎระเบียบบนภูเขาที่ไม่เป็ นลายลักษณ์อักษร มาเยี่ยมเยือน ภูเขาต้องเข้าประตูภูเขา ออกจากภูเขาก็ต้องออกจากประตู หลวี่เห ยียนมาถึงตีนเขาแล้วก็ร่ายวิชาหดย่อพื้นที่ไปโดยตรง ก้าวเดียวก็ ข้ามผ่านพื้นที่เกือบครึ่งของแจกันสมบัติทวีป มายังท่าเรือตระกูล เซียนแห่งหนึ่งที่อยู่ทางเหนือสุด ทอดสายตามองไปยังอุตรกุรุทวีปที่ อยู่ทางทิศเหนือ ร่ายเวทมองลมปราณ ในการมองเห็นมีแสงเรื่อเรื่อง สามจุดที่กระจายอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับภูเขาที่ป๋ ายฉางปิดด่านอยู่ ดูจากท่าทางแล้วตอนนี้เฮ้อเสี่ยวเหลียงน่าจะยังไม่ลงมือ หลวี่เหยียน จึงหดย่อพื้นที่อีกครั้ง พริบตาเดียวก็มาถึงบนมหาสมุทร เพ่งมองให้ แน่ชัด โบกแส้ปัดฝุ่ นหนึ่งครั้ง แหวกน้าทะเลออกง่ายๆ เรียกคลื่นร ้อย จังให้ถาโถม เรือนกายของนักพรตเปล่งวูบหายไปยังซากปรักวัง มังกรใต้น้าแห่งหนึ่งที่ยังไม่ถูกหวังจูมังกรที่แท้จริงค้นพบร่องรอยตรา ผนึกหนาชั้นคล้ายกับเป็ นแค่สิ่งที่สมมติขึ้นมา นักพรตฉุนหยางก้าว เดินอย่างผ่อนคลายประหนึ่งเข้ามาในดินแดนที่ไร ้ผู้คน

ระหว่างที่เดินขึ้นเขา เสี่ยวโม่ใช ้เสียงในใจเอ่ยเตือนว่า “คุณชาย เซี่ยโก่วมีนิสัย แปรปรวนเอาแน่เอานอนไม่ได้ หากนางอยู่บนภูเขาลั่ว พั่วก็อาจจะก่อเรื่องได้ทุกเมื่อ ไม่สู้ให้ข้าคิดหาวิธีดีไหม?”

สาหรับผู้ฝึ กกระบี่เต็มตัวแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเผ่าปี ศาจ วิธีการที่มองโลกซึ่งอยู่นอกกายตัวเอง อันที่จริงมักจะมองแค่ในมุม เดียวเท่านั้น ก็คือชอบคิดพิจารณาเรื่องพลังการต่อสู้ เผชิญหน้ากับ ผู้ฝึกตนที่แตกต่างกัน ตัวเองแค่ต้องปล่อยกระบี่ไปกี่ครั้ง ในสายตา ของป๋ ายจิ่งแล้ว ต่อให้จะเป็ นยอดฝีมือที่เร ้นกายจากโลกซึ่งตอนนี้ยัง มองตบะตื้นลึกไม่ออกอย่างฉุนหยางเจินเหริน นางเองก็ไม่รู้สึกกลัว แม้แต่น้อย หากอยู่ที่ใต้หล้าเปลี่ยวร ้าง ป๋ ายจิ่งอาจถึงขั้นเป็ นฝ่ ายท้า ทายถามกระบี่ไปนานแล้วก็เป็ นได้ ในเมื่อมองตบะตื้นลึกไม่ออก ถ้า อย่างนั้นก็ต่อสู้กันให้รู ้คาตอบ

เฉินผิงอันยิ้มเอ่ยหยอกล้อ “วิธี? วิธีอะไร? ใช ้ร่างกายตอบแทน หรือ? เสี่ยวโม่อ่า มีใครเขาเป็ นนักรบพลีชีพอย่างเจ้าบ้างเล่า ถึงกับ ต้องขายความงามของตัวเองเลยหรือ?”

เสี่ยวโม่ทาท่าจะพูดแต่ไม่พูด

เฉินผิงอันกล่าว “ข้ารู ้ความคิดของเจ้า คงอยากจะตั้งกฎเกณฑ์ ที่คล้ายคลึงกับบัญญัติสามประการกับนาง บอกนางว่าหากท าอะไร ล้าเส้น เจ้าก็จะเรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มนั้นออกมา แน่นอนว่า เจ้าจริงจัง ป๋ ายจิ่งเองก็เชื่อว่าเจ้าจริงจัง แต่ข้ากลับคิดว่าไม่มีความ จาเป็ น เอาล่ะๆ เจ้าอย่ามัวแต่เป็ นกังวลกับเรื่องแบบนี้เลย ในเมื่อข้า

รับปากให้นางกลับมาที่ภูเขา เจ้าก็วางใจได้เลย แค่ตั้งใจฝึกกระบี่ให้ ดีไปก็พอ มารดามันเถอะ ป๋ ายจิ่งผู้นี้ก่อนหน้านั้นนางบอกว่า คุณสมบัติของเจ้าสู้นางไม่ได้ ร่ายเหตุผลบิดๆ เบี้ยวๆ ยาวเหยียดท า เอาข้าโมโหแทบตาย คาดว่าเจ้าเองก็น่าจะได้ยินแล้ว ดังนั้นเสี่ยวโม่ อ่า เจ้าต้องตั้งใจฝึกตนนะ”

เสี่ยวโม่กล่าวอย่างจนใจ “ช่วงเวลาที่ติดตามอยู่ข้างกายคุณชาย เรื่องของการฝึกตนข้าไม่เคยเกียจคร ้านเลยสักชั่วขณะ”

เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ก่อนหน้านี้มรรคาจารย์เต๋ามาเยือนเมืองเล็ก ได้ถามความเห็นข้าเกี่ยวกับการฝึกตน ข้าเคยใช ้บทกวีของซูจื่อต อบกลับไป เมฆเรืองรองแห่งเมืองตันโจว คลื่นน้าแห่งนทีเฉียนถัง หากไร ้วาสนาได้ไปชมต้องเสียดายไปชั่วชีวิต เมื่อถึงคราได้มาเยือน กลับค้นพบว่าก็มีเพียงเท่านั้น เมฆเรืองรองแห่งเมืองตันโจว คลื่นน้า แห่งนทีเฉียนถัง”

เสี่ยวโม่ยิ้มอย่างรู ้ทัน “ซูจื่อถูกขนานนามว่าเป็ นบรรพบุรุษแห่ง วลี ทว่ากลอนบทนี้กลับมีกลิ่นอายของนิกายฌานมากแล้ว บัณฑิต คนหนึ่งคุยกับมรรคาจารย์เต๋เรื่องนี้ คุณชายก็ช่างมีเพียงหนึ่งเดียวใน ปฐพีจริงๆ”

เฉินผิงอันร ้องเฮ้อยาวๆ เลียนแบบน้าเสียงของอาจารย์ตัวเอง พูด บ่นว่า “อย่าพูดเหลวไหล เป็ นเจ้าที่คิดมากเกินไป ข้าไม่มีความคิดที่ จะประชันขันแข่งอย่างที่เจ้าคิดหรอกนะ”

บทที่ 987.2 ผู้ฝึกยุทธพบเรือนไม้ไผ่ข้า 1

บทที่ 987.2 ผู้ฝึกยุทธพบเรือนไม้ไผ่ข้า 2

บทที่ 987.2 ผู้ฝึกยุทธพบเรือนไม้ไผ่ข้า 3

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!