เซี่ยโก่วดื่มเหล้าพลางเอ่ยว่า “ไร ้อิสระอย่างสิ้นเชิง จะรู ้สึกว่าคือ อิสระอย่างหนึ่งหรือไม่”
เด็กชายผมขาวเงียบไปพักใหญ่ จู่ๆ ก็ชูกาปั้นขึ้นตะโกนเสียงดัง ลั่น “ข้าเข้าใจแล้ว จะชนะหรือแพ้ก็อยู่ที่การกระทานี้แล้ว!”
เซี่ยโก่วกล่าว “อย่าโหวกเหวกเสียงดังสิ”
เด็กชายผมขาวกดเสียงลงต่าเอ่ยว่า “พี่หญิงเซี่ย หากคิด อยากจะเป็ นคนที่มาภายหลังน าแซงหน้า กดข่มสายของหัวหน้าศูนย์ บัญชาการณ์ใหญ่เผย และสายของฟักแคระ ก็จะต้องมีวิธีเอาชนะที่ เป็ นกุญแจส าคัญ!”
เซี่ยโก่วถาม “อาจารย์ผู้เฒ่าจูหรือ?”
เด็กชายผมขาวส่ายหน้า ยิ้มกว้างเอ่ยว่า “กวอจู๋จิ่ว!”
ทางฝั่งนั้น เสี่ยวโม่สังเกตเห็นว่าคุณชายหยิบเอาน้าเต้าเลี้ยง กระบี่ลูกนั้นออกมาอีกครั้ง จิบเหล้าดื่มหนึ่งอีก ท่าทางไม่มีความสุข นัก
เฉินผิงอันกล่าว “เสี่ยวโม่ เจ้าว่าวันหน้า อย่างเช่นว่าหนึ่งร ้อยปี ให้หลัง สองร ้อยปีให้หลัง หรือนานยิ่งกว่านั้น ภูเขาลั่วพั่วมีคนเพิ่ม
มากหลายร ้อยหรือถึงขั้นพันกว่าคนแล้ว พวก เราย้อนกลับมามอง วันนี้อีกครั้งจะรู ้สึกแปลกหน้าหรือไม่?”
เสี่ยวโม่ยิ้มกล่าว “อาจจะใช่ อาจจะไม่ใช่”
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างข าๆ ปนฉุน “คนนอกยืนพูดต้องไม่ปวดเอว อยู่แล้ว”
หลังจากนั้นเสี่ยวโม่ก็กลับห้องไปหลอมกระบี่ เฉินผิงอันไปที่ เรือนไม้ไผ่ ใช ้ความคิดต่ออีกครั้งว่าควรจะจรดพู่กันเขียนบทนาของ ต าราหมัดบางเล่มอย่างไรดี
มีตาราหมัดเขย่าขุนเขาเป็ นผลงานที่โดดเด่นให้เห็นก่อนหน้า เฉินผิงอันจึงปวดหัวกับเรื่องนี้มาโดยตลอด นั่งเหม่ออยู่ข้างโต๊ะเป็ น เวลานาน สุดท้ายก็ไปอ่านหนังสือเสียเลย
กลางดึกผู้คนพากันหลับสนิท
เฉินผิงอันเปิ ดประตูออก เดินเหยียบไปบนก้อนอิฐไม่กี่ก้อนที่ ช่วยกันกับชุยตงซานปูลงบนพื้น
กลับมาที่ห้องอีกครั้ง ถอดรองเท้าผ้า ไม่คิดถึงเรื่องอะไรทั้งนั้น ทิ้งหัวลงหมอนได้ก็หลับไปทันที
เฉินผิงอันจะไม่มีใจเห็นแก่ตัวเลยได้อย่างไร ส าหรับการสอน หมัดต่อเฉาอิน เฉายางเขายังตั้งใจจริงจังขนาดนี้ จ้าวซู่เซี่ยคือลูก
ศิษย์ผู้สืบทอดที่อยู่บนทาเนียบของศาลบรรพจารย์ เขาก็มีแต่จะใส่ใจ มากยิ่งกว่า
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงบอกให้จ้าวซู่เซี่ยย้ายจากตรอกฉีหลงมาอยู่ บนภูเขาลั่วพั่ว
สุดท้ายเลือกสถานที่สอนหมัดเป็ นชั้นสองของเรือนไม้ไผ่
นับตั้งแต่ดื่มน้าชาคารวะอาจารย์ รับจ้าวซู่เซี่ยเป็ นลูกศิษย์ผู้สืบ ทอดอย่างเป็ นทางการอันที่จริงเฉินผิงอันก็ครุ่นคิดเรื่องที่จะสอนหมัด ให้เขาอย่างไรอย่างจริงจังมาโดยตลอด
คิดอยากจะเรียบเรียงตาราหมัดเล่มหนึ่งขึ้นมาด้วยตัวเอง เป็ น เพียงแค่ขั้นตอนหนึ่งในนั้นเท่านั้น
สอนหมัดอะไร จะสืบทอดหมัดเขย่าขุนเขาต่อ รวมไปถึงวิชา “ปรับแก้มังกรใหญ่” ซึ่งเป็ นท่าที่เรียนรู ้มาจากจ้งชิว หรือวิชาหมัด ของจูเหลี่ยน เวทวานรขาวสะพายกระบี่ของหวงถิง ท่าหมัดใหม่ที่ จ าแลงมาจากภาพเซียนเหรินหกภาพของเรือนอวิ๋นฉ่าวผูซาน บวก กับวิชาหมัดเล่มที่คงโหวมอบให้ ช่วยให้จ้าวซู่เซี่ยเดินจากจุดต่าไป ยังจุดสูง ดึงเอาข้อดีของแต่ละฝ่ ายมาผสานรวมเข้าด้วยกันอย่างทะลุ ปรุโปร่ง ในอนาคตรอให้จ้าวซู่เซี่ยเลื่อนเป็ นขอบเขตห้าเมื่อไหร่ค่อย ท าการขัดเกลาเรือนกายของขอบเขตหกต่ออีกครั้ง…หรือควรจะสอน วิชาหมัดทั้งหมดซึ่งมีท่าเทพตีกลองสายฟ้ า ท่า “บุปผาผลิบาน” และ “เศษจันทร ์” ที่ไม่มีการแยกฝ่ ายระหว่างวิชาหมัดกับวิชากระบี่ที่เฉิน
ผิงอันคิดขึ้นมาไปพร ้อมกันรวดเดียว? แล้วนับประสาอะไรกับที่ควรจะ สอนอย่างไร เฉินผิงอันควรจะกดขอบเขต กดกี่ขอบเขต? หรือว่าไม่ กดขอบเขต ก็เหมือนอย่างตอนที่ป้ อนหมัดให้กับหลิวจงคนลับมีด ตอนที่อยู่บนเรือลู่เสียนจือลานั้น? ควรจะเลือกภูเขาใต้อาณัติอย่าง ภูเขาหวงหู ภูเขาฮุยเหมิงมา เอาอย่างภูเขาอวิ๋นเจิงของสานักกระบี่ ชิงผิง มีจ้าวซู่เซี่ยเป็ นจุดเริ่มต้น เอาไว้ใช ้เป็ นสถานที่ที่อบรมปลูกฝัง ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวโดยเฉพาะ จากนั้นก็สืบทอดกลายไปเป็ นประเพณี ประจ าในการเรียนหมัดของผู้ฝึ กยุทธบนภูเขาลั่วพั่ว? หรือควรจะ เลือกชั้นสองของเรือนไม้ไผ่? หากสุดท้ายแล้วเลือกสถานที่เป็ นเรือน ไม้ไผ่ ควรจะสืบทอดระบบบางอย่างที่ไม่เป็ นลายลักษณ์อักษร ใช ้ วิธีการสอนหมัดของผู้อาวุโสขุยมาสอนหมัด หรือควรจะท าตาม วิธีการของเฉินผิงอันเองมาเป็ นการทดลอง? หากว่าทาได้ทั้งสอง อย่าง ถ้าอย่างนั้นอัตราสัดส่วนของแต่ละอย่างแบบไหนควรมากแบบ ไหนควรน้อยถึงจะเหมาะกับจ้าวซู่เซี่ยที่สุด…สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็ นปัญหา ที่แท้จริงซึ่งวางอยู่ตรงหน้าเฉินผิงอัน เขาที่เป็ นอาจารย์จะต้องมั่นใจ เสียก่อน ต้องมีโครงสร ้างวิธีการเสียก่อนถึงจะสอนหมัดให้กับลูกศิษย์ อย่างเป็ นทางการได้ หลายวันมานี้เฉินผิงอันทบทวนอยู่หลายครั้ง พลิกโค่นความคิดสมมติอย่างแล้วอย่างเล่า แต่ขณะเดียวกันก็ สามารถอาศัยโอกาสนี้มาทบทวนชีวิตการเรียนวรยุทธของตัวเฉินผิง อันเองได้พอดี
เช ้าตรู่ของวันนี้ ฟ้ าเพิ่งเริ่มสว่างได้เล็กน้อย เฉินผิงอันไปนั่งอยู่ที่ โต๊ะหินริมหน้าผาเพียงล าพัง ผ่านไปได้ไม่นานเท่าไร หน่วนซู่กับหมี่ ลี่น้อยก็พากันเดินมาที่นี่ แม่นางน้อยสองคนต่างก็สะพายห่อผ้าไว้ เอียงๆ คนละใบ แล้วยังช่วยกันแบก…ราวแขวนเสื้อที่ทาจากไม้มา อันหนึ่งด้วย?
เฉินผิงอันเห็นแล้วอารมณ์ดีทันที ลุกขึ้นยืน ยิ้มถามว่า “พวกเจ้า จะท าอะไรหรือ?”
โจวหมี่ลี่หัวเราะฮ่าๆ “พี่หญิงหน่วนซู่บอกแล้วว่า ครั้งนี้กลับมา บ้าน เจ้าขุนเขาคนดีจะอยู่ในภูเขานานมากๆ เมื่อคืนพวกเราสองคน จึงช่วยกันคิด แล้วก็ตัดสินใจว่าควรจะจัดการให้เรียบร ้อยสักหน่อย”
เฉินผิงอันเอ่ยสัพยอก “แม้แต่ราวแขวนเสื้อก็จัดการมาเรียบร ้อย แล้วด้วยหรือ? ดูแล้วเหมือนจะเป็ นฝีมือของพ่อครัวเฒ่า คงไม่ใช่ว่า พวกเจ้าไปเร่งให้เขาทาทั้งคืนหรอกกระมัง?”
หมี่ลี่น้อยรีบเม้มปากทันใด
หน่วนซู่พยักหน้ายิ้มเอ่ย “เป็ นข้าที่ให้อาจารย์จูช่วย”
หมี่ลี่น้อยรีบเอ่ยทันใดว่า “ด้วยกัน ด้วยกัน”
อันที่จริงเมื่อคืนวานนางเป็ นคนออกความคิด เดิมทีพี่หญิงหน่ว นช่อยากจะรอให้เช ้าก่อนแล้วค่อยพูด เพียงแต่มิอาจทนการรบเร ้า ของนางก็เลยไปเคาะประตูกลางดึกด้วยกัน
เฮ้อ ตนยังคงกล้าหาญไม่มากพอ มิน่าเล่าเผยเขียนถึงได้เป็ น หัวหน้าใหญ่
หน่วนซู่อธิบาย “อาจารย์จูบอกแล้วว่าด้วยสถานะของนายท่าน ในทุกวันนี้ จาเป็ นต้องต้อนรับแขกบ่อยๆ ไม่ใช่ว่าพวกเรามองคนแต่ ภายนอก ก็แค่ว่ามีเซียนซือบางคนที่ไม่สนิทกันแม้แต่น้อยทั้งยัง สามารถขึ้นเขามาได้ พวกเขาเลื่อมใสนายท่านจากใจจริง ทั้งๆ ที่ นายท่านรูปโฉมหล่อเหลาองอาจถึงเพียงนี้ มีมาดของเทพเซียนเป็ น อันดับหนึ่ง เอาแต่สวมชุดกว้าตัวยาวสีเขียวออกจะดูจืดชืดน่าเบื่อไป สักหน่อย บางครั้งเปลี่ยนเสื้อผ้า เปลี่ยนชุดคลุมอาคมให้แตกต่างไป บ้าง ไม่พูดถึงว่าคนนอกจะตกตะลึงกันอย่างไร แต่อย่างน้อยก็ท าให้ พวกเราที่เป็ นคนกันเองเห็นแล้วสดชื่นกระปรี้กระเปร่า ข้ากับหมี่ลี่ น้อยต่างก็รู ้สึกว่าอาจารย์จูพูดมี เหตุผล…”
หมี่ลี่น้อยพยักหน้ารับอย่างแรง “ใช่แล้วๆ คาพูดของพ่อครัวเฒ่า ได้เอ่ยเสียงในใจของข้าออกมาหมดเลย”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!