ปลายเดือนหนึ่งของปีฉุนผิงที่หก ฉู่โจวมีฝนกระหน่าตกลงมาห่า ใหญ่ แม้จะเป็ นตอนเที่ยงวันอากาศก็ยังขมุกขมัวสลัวเหมือนยามค่า คืน เพียงแต่ว่าเมื่อสายฝนสายฟ้ าผลุบหายไป ท้องฟ้ าหลังจากฝนตก ถูกชาระล้างจนสีเขียวขจีชุ่มปลั่งเต็มภูเขา แสงแดดของฤดูใบไม้ผลิ อบอุ่น ฝูงนกในภูเขาบินโผเกาะไปตามกิ่งไม้อย่างลิงโลด หยาดฝน พลิ้วปลิวอยู่ท่ามกลางลมวสันตฤดู
เฉินผิงอันได้นาตาราหมัดที่คงโหวมอบให้ไปให้จูเหลี่ยนได้ยืม อ่านแล้ว
ในเมื่อทั้งสองฝ่ ายนัดหมายกันว่าจะถามหมัดในเมืองหลวงของ แคว้นหนันเยวี่ยน ถ้าอย่างนั้นก็ต้องต่อสู้กันอย่างจริงจัง
เส้าอวิ๋นเหยียนและถัวเหยียนฮูหยินที่ออกท่องไปตามขุนเขา สายน้าของแจกันสมบัติทวีปมาโดยตลอดกาลังจะจับมือกันมาเยี่ยม เยือนภูเขาลั่วพั่ว
เพราะได้ส่งกระบี่บินแจ้งข่าวมาบอกทางยอดเขาจี้เซ่อให้ทราบ ถึงก าหนดการเดินทางล่วงหน้าก่อนแล้ว วันนี้เฉินผิงอันจึงพาเหวยเห วินหลงมาที่หน้าประตูภูเขา ดื่มน้าชารอคน
เว่ยป้ อมาปรากฏกายที่หน้าประตูภูเขา องอาจสง่างาม มองแล้ว สดชื่นสบายตา สวมชุดคลุมตัวยาวสีขาวหิมะ บุคลิกแห่งเทพสูงส่ง ประดุจเดินอยู่บนภูเขาหยก
นั่งลงข้างโต๊ะ เว่ยป้ อรินน้าชาให้ตัวเองหนึ่งถ้วย บอกว่าแขกสอง คนของเจ้ามาถึงอ าเภอไหวหวงแล้ว
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ก็ต้องให้เว่ยซานจวินมา แจ้งเตือนด้วยตัวเองด้วยหรือ? หากมีความจริงใจจริงๆ เจ้าก็ไปช่วย ข้าต้อนรับแขกที่เมืองเล็กสิ แบบนี้สิถึงจะเรียกว่ามีหน้ามีตา”
เว่ยป้ อไม่ต่อคา เพียงแค่เอ่ยขอบคุณไปคาหนึ่ง ไม่คิดจะนั่งอยู่ นาน ดื่มน้าชาหมดถ้วยก็จะกลับจวนชานจวินแล้ว ไม่ถ่วงรั้งการ ต้อนรับแขกของเจ้าขุนเขาเฉิน
เพราะฉุนหยางเจินเหรินที่เมื่อไม่กี่วันก่อนมาเป็ นแขกที่ภูเขาลั่ว พั่ว ก่อนหน้านี้ได้ร่ายวิชาอภินิหารหดย่อพื้นที่ ก้าวเท้าออกไปก้าว เดียวก็ตรงดิ่งไปยังทิศเหนือสุดของแจกันสมบัติทวีปทันที ดูจาก ท่าทางก็น่าจะข้ามมหาสมุทรไปเยือนอุตรกุรุทวีปแล้ว แต่ไม่รู ้ว่าเหตุ ใดเจินเหรินถึงย้อนกลับเข้ามาในอาณาเขตของขุนเขาเหนืออีกครั้ง มายังภูเขาใต้อาณัติของภูเขาลั่วพั่วที่มีชื่อว่ายอดเขาหย่วนมู่ หลวี่เห ยียนที่อยู่บนหน้าผาซึ่งมีต้นสนโบราณเก่าแก่เลื้อยยาวคดเคี้ยวไป ตามภูเขาเหมือนหยวน (จิ้งจกน้าหรือซาลาแมนเดอร ์) ตัวใหญ่ที่เกาะ อยู่บนหน้าผา มือหนึ่งของเขาถือกระบวยน้าเต้าดื่มเหล้า อีกมือหนึ่ง ทามุทรากระบี่แทนพู่กันแกะสลักบทกวีบทหนึ่งลงบนหน้าผา เว่ยป้ อ
ได้รับเสียงเตือนทางใจจากเฉินผิงอันจึงเร่งรุดเดินทางไปที่ยอดเขา หย่วนมู่ทันที ฉวยโอกาสตอนที่ฉุนหยางเจินเหรินยังเกิดแรงบันดาล ใจอยากเขียนกวี พูดอ้อมๆ เชื้อเชิญให้อีกฝ่ ายไป “ทาตามแบบ” ที่ ภูเขาพีอวิ๋นบ้านตน แกะสลักตัวอักษรบนหน้าผาอีกสักที ต่อให้ไม่ได้ เขียนบทกวีทั้งบท แค่ตัวอักษรใหญ่ๆ ตัวสองตัวก็ได้เหมือนกัน คง เป็ นเพราะเห็นแก่หน้าเจ้าขุนเขาเฉิน หลวี่เหยียนจึงไม่ได้ปฏิเสธเรื่อง นี้ ไปเยือนภูเขาพีอวิ่นของเว่ยป้ อรอบหนึ่งจริงๆ บนภูเขาสูงยังมีหิมะ ทับถม หลวี่เหยียนไม่ขี้เหนียว “น้าหมึก” ครุ่นคิดอยู่เล็กน้อยก็ แกะสลักถ้อยคาไพเราะที่คล้ายคลึงกับบทอารัมภบทไปหนึ่งประโยค
พกสุราบุกขึ้นเขา หิมะปลิวกระทบหน้าที่เมามาย ทั้งชีวิตเห็น มาแล้วพันหมื่นภูเขาแห่งแรกที่สนใจคือพีอวิ๋น
ถึงอย่างไรภูเขาพีอวิ๋นก็เป็ น “มหาบรรพตใหม่” หากจะพูดถึง ตัวอักษรที่แกะสลักบนหน้าผาก็เรียกได้ว่ายากแค้นจริงๆ ห้ามหา บรรพตของแจกันสมบัติทวีป บางทีอาจมีดีกว่าแค่ขุนเขาใต้ของฟ่ าน จวิ้นเม่าเท่านั้น
ภูเขาลูกนัของตนมีตัวอักษรขนาดใหญ่ที่กลิ่นอายเต็มเปี่ยมล้น ประโยคนี้ เว่ยป้ อก็รู ้สึกว่าไม่ด้อยกว่าขุนเขากลางของจิ้นชิงแล้ว
เว่ยป้ อดื่มน้าชาไปแล้วก็ยิ้มเอ่ยว่า “วันหน้าหากมีเรื่องดีๆ เช่นี้อีก จ าไว้ว่าต้องนับภูเขาพีอวิ๋นของข้าเข้าไปเป็ นส่วนหนึ่งด้วยนะ”
เฉินผิงอันตอบตกลง เว่ยป้ อรีบรินน้าชาให้เจ้าขุนเขาเฉินด้วย ตัวเองทันที จากนั้นก็มาอย่างอารมณ์ดีจากไปด้วยความพึงพอใจ
เหวยเหวินหลงเกร็งหน้าอยู่ตลอด คอยเหลือบไปมองเส้นทางเล็ก บนภูเขาอยู่เป็ นระยะ
เฉินผิงอันรู ้สึกว่าน่าสนใจ เพราะเจ้าจวนเหวยเทพเจ้าแห่งโชค ลาภบ้านตนผู้นี้ตื่นเต้นมาก เวลานี้ดื่มชากลับเหมือนคนดื่มเหล้า ระงับความตกใจมากกว่า
เส้าอวิ๋นเหยียนและถัวเหยียนฮูหยินที่เดินเท้ามาบนเส้นทางภูเขา พอพบหน้ากันที่ประตูแล้วก็เรียกขานเฉินผิงอันว่าอิ่นกวานด้วยความ เคยชิน
เทพเจ้าแห่งโชคลาภของภูเขาลั่วพั่ว บุคคลอันดับหนึ่งแห่งจวน เฉวียนฝู่ เหวยเหวินหลงมีสีหน้าเครียดขรึม กุมหมัดก้มหัวคารวะ เส้าอวิ๋นเหยียน “ลูกศิษย์เหวยเหวินหลงคารวะท่านอาจารย์”
เส้าอวิ๋นเหยียนแค่ผงกศีรษะรับเท่านั้น ปีนั้นในบรรดาลูกศิษย์ผู้ สืบทอดของเรือนชุนฟาน อันที่จริงเส้าอวิ๋นเหยียนไม่ค่อยเห็นดีในตัว ลูกศิษย์ที่ชอบแต่ศาสตร ์การคานวณอย่างเหวยเหวินหลงเท่าใดนัก
หากจะบอกว่าไม่สนิทสนมกับเหวยเหวินหลงเลยก็ไม่ใช่ เพราะ ถึงอย่างไรลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเส้าอวิ๋นเหยียนก็มีอยู่แค่ไม่กี่คน เท่านั้น แต่หากจะบอกว่าอาจารย์และศิษย์สองคนสนิทกันถึงเพียงใด ก็ไม่ถึงขั้นนั้นเช่นกัน
อีกอย่างนับแต่เล็กมาเหวยเหวินหลงก็คือน้าเต้าตันที่เอากระบอง ฟาดกี่ทีก็ไม่ยอมผายลม ส่วนเส้าอวิ๋นเหยียนที่อยู่ในเรือนขุนฟานปี นั้นก็ไม่ใช่อาจารย์หรืออาจารย์ปู่ที่เมตตาปราณีอะไร
เส้าอวิ๋นเหยียนหันหน้าไปถามเฉินผิงอัน “ใต้เท้าอิ่นกวาน อยู่ที่ ภูเขาถั่วพัวนี้ เหวยเหวินหลงที่อยู่ในศาลบรรพจารย์ นั่งอยู่ในเก้าอี้ อันดับที่เท่าไร?”
เฉินผิงอันยิ้มตอบ “ตาแหน่งที่นั่งที่อยู่ด้านหน้าเขามีแค่ข้า ผู้คุม กฏฉางมิ่ง โจวเฝยผู้ถวายงานอันดับหนึ่ง แค่สามคนนี้เท่านั้น ดังนั้น เหวยเหวินหลงจึงถือว่านั่งอยู่ในเก้าอี้อันดับที่สี่ของภูเขาลั่วพั่วพวก เรา”
สานักทั่วไปมักจะต้องมีบรรพจารย์ที่อายุขัยการฝึกตนยาวนาน ล าดับอาวุโสสูงมากอยู่สองสามคน ส่วนใหญ่ล้วนเป็ นยศที่ว่างเปล่า แม้จะไม่มีอานาจที่แท้จริง แต่ตาแหน่งในศาลบรรพจารย์ก็มักจะอยู่ หน้าๆ หากขอบเขตทิ้งระยะห่างจากเจ้าสานักคนปัจจุบันหนึ่งถึงสอง ขั้น ไม่แน่ว่าตาแหน่งเก้าอี้อาจเป็ นรองแค่เจ้าสานักเท่านั้น ตาแหน่งผู้ ฝึกตนของในส านักยังอยู่ด้านหลังด้วยซ้า
เส้าอวิ๋นเหยียนยิ้มกล่าว “เมื่อก่อนไม่เคยรู ้สึกอะไร ตอนนี้มายืน อยู่ที่ตีนเขาของภูเขาลั่วพั่ว ดูเหมือนจะรู้สึกว่าไม่เลวเลยจริงๆ”
เหวยเหวินหลงยิ้มอย่างเขินอาย
สัมผัสได้ถึงสายตาของอาจารย์ เหวยเหวินหลงรีบตีหน้าเคร่ง หุบยิ้มทันที
เฉินผิงอันบ่น “เซียนกระบี่เส้า ข้าต้องเตือนท่านสักคานะ จะดีจะ ชั่วเจ้าจวนเหวยก็เป็ นบุคคลยิ่งใหญ่ของภูเขาลั่วพั่วของพวกเรา ท่าน ต้องเกรงใจกันหน่อย อย่าเอาแต่วางมาดอาจารย์ ท าหน้าบูดบึง”
เส้าอวิ๋นเหยียนไม่คิดจะโต้เถียงกับใต้เท้าอิ่นกวาน “เหวินหลงอ่า เจ้าขุนเขาของพวกเจ้าตาหนิข้าแล้ว เจ้าคิดว่าอย่างไร ข้าที่เป็ น อาจารย์ควรจะมีหน้ายิ้มดีไหม?”
เหวยเหวินหลงกล่าวอย่างตึงเครียด “ไม่ต้องๆ อาจารย์เป็ น เหมือนในอดีตก็ดีมากแล้วขอรับ”
รอกระทั่งเหวยเหวินหลงหันไปพูดคุยกับเฉินผิงอันก็ไม่ขี้ขลาด อีกต่อไป เขาพูดด้วยสีหน้าเป็ นธรรมชาติว่า “เจ้าขุนเขา อาจารย์ เป็ นอย่างนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ใบหน้าเย็นชาจิตใจเร่าร้อน อาจารย์ ไม่จาเป็ นต้องจงใจทาเช่นไร นั่นกลับกลายเป็ นว่าจะยิ่งทาให้ข้าไม่ เป็ นตัวของตัวเอง”
เฉินผิงอันหันไปสบตากับเส้าอวิ๋นเหยียนแล้วยิ้มให้กัน
ถัวเหยียนฮูหยินแอบเบ้ปาก ปีนั้นอยู่ที่ภูเขาห้อยหัว นางมองไม่ ออกจริงๆ ว่านักบัญชีเหวยเจ้าดื่มแห่งเรือนชุนฟานผู้นี้จะได้รับ โอกาสและประสบความสาเร็จอย่างในวันนี้ได้ คนเปรียบเทียบกับคน ชวนให้คนโมโหตายจริงๆ
ทุกวันนี้ถัวเหยียนฮูหยินมีชื่อว่าเหมยโส่ว ฉายาว่านายแห่งดอก เหมย
นางได้เผาผลาญตบะไปหนึ่งร ้อยยี่สิบปี ที่อารามชิงเหมย ทะเลสาบหนันถัง แต่สุดท้ายกลับรายงานเท็จไปว่าหนึ่งร ้อยห้าสิบปี
ก่อนหน้านี้ไปเที่ยวเยือนสานักอวี่หลงที่มีการผลัดแผ่นดินใหม่ เส้าอวิ๋นเหยียนได้รับคาเชื้อเชิญจากน่าหลันไฉ่ฮ่วนผู้เป็ นเจ้าส านัก ส่วนถัวเหยียนฮูหยินที่เนื่องจากในอดีตมีความสัมพันธ ์ที่ไม่เลว กับอวิ๋นเซียนแห่งตาหนักสุ่ยจิง ทุกวันนี้คนทั้งสองจึงกลายเป็ นผู้ ถวายงานที่ได้รับการบันทึกชื่อของสานักอวี่หลงแล้ว
ดูเหมือนใต้หล้าอิ่นกวานจะสังเกตเห็นแขกคนที่สองแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!