เสี่ยวโม่ยิ้มบางๆ “หากว่ายังรวมพวกเผ่าปีศาจที่ถือกาเนิดในยุค ดึกด าบรรพ์เข้าไปด้วยก็จะมีเยอะกว่านี้อีก เพียงแต่พวกเขาไม่เผยตัว ง่ายๆ เพราะหลังจากที่ผู้ฝึกกระบี่ในโลกมนุษย์มีมากขึ้นก็ชอบไปหา เรื่องพวกเขาที่สุดแล้ว”
เสี่ยวโม่ลังเลเล็กน้อย ครั้นจึงเอ่ยว่า “ยกตัวอย่างเช่นอาจารย์จ วินเชี่ยนศิษย์พี่ของคุณชาย ชาติกาเนิดของเขามหัศจรรย์อย่างยิ่ง ในช่วงยุคดึกดาบรรพ์ เขาก็เป็ นบุคคลที่มีจ านวนน้อยนิด เคยมีภาพ ปรากฏการณ์แห่งมหามรรคาที่ว่ายืนตระหง่านอยู่บนแผ่นดินกว้าง ใหญ่ตะวันจันทราเล็ก สยายปี กเจ็บใจเพียงแต่ฟ้ าครามต่า หาก อาจารย์จวินเชี่ยนไม่ได้ถูกศาสดาพุทธลากไปถกมรรคา ถูกพระ ธรรมกล่อมเกลานิสัยที่มีติดตัวมาแต่กาเนิดจนนิสัยเปลี่ยนแปลงไป บ้างเล็กน้อย ข้าคาดว่าผู้ถ่ายทอดมรรคาของอาจารย์เจิ้งแห่งนคร จักรพรรดิขาวที่เป็ นคนของยุคบรรพกาลก็คงไม่มีโอกาสได้สร ้างศึก พิฆาตมังกรขึ้นมาด้วยซ้า”
เสี่ยวโม่เอ่ยต่ออีกว่า “คุณชาย ข้ามีการคาดเดาอย่างหนึ่ง”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ว่ามาได้เลย”
เสี่ยวโม่กล่าว “ข้าเดาว่าการที่มังกรที่แท้จริงในใต้หล้าทรยศออก จากสรวงสวรรค์ในปีนั้น มีความเป็ นไปได้มากว่าอาจารย์จวินเชี่ยนมี
คาสัญญาบางอย่างต่อเผ่าน้าทั้งหมดของวังมังกรอย่างลับๆ โดยผ่าน ศาสดาพุทธ คล้ายจะเป็ นสัญญาท านองว่าจะไม่ท าร ้ายพวกเจียวหลง หรือสุ่ยเซียน”
เฉินผิงอันพยักหน้า “น่าจะเป็ นเรื่องจริงแล้ว”
เฉินผิงอันพลันถามว่า “เสี่ยวโม่ จากการคาดการณ์ของบน ภูเขา ขอบเขตสิบเอ็ดบนวิถีวรยุทธน่าจะมองเป็ นขอบเขตสิบสี่ของผู้ ฝึกลมปราณได้ นี่ถูกต้องหรือไม่?”
ตอนอยู่ที่ภูเขาไท่ผิง เพราะลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของตัวเอง เฉินผิงอันจึงโดนหมัดของผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบเอ็ดบางคนเข้าไป หรือควรจะพูดให้ถูกต้องคือครึ่งหมัด
ตอนนั้นเฉินผิงอันที่เป็ นขอบเขตสิบปราณโชติช่วงแล้ว เผชิญหน้ากับครึ่งหมัดนั้นก็ได้แต่ยืนนิ่งปล่อยให้อีกฝ่ ายต่อยแต่โดย ดี อย่าว่าแต่เอาคืนเลย จะตั้งท่ารับก็ยังยาก นอนอยู่ในหลุมใหญ่เป็ น นานก็ยังลุกไม่ขึ้น
ภายหลังรู้ความจริงว่าท าไมอยู่ดีๆ ตนถึงโดนครึ่งหมัดนี้แล้ว เฉิน ผิงอันก็ทั้งขาทั้งโมโห ได้แต่เป็ นคนใบ้กินหวงเหลียน เพราะถึง อย่างไรเขาก็ตัดใจดุด่าเผยเฉียนไม่ลงแม้แต่ครึ่งคา
แล้วนับประสาอะไรกับที่เผยเฉียนเป็ นคนคิดมากมาตั้งแต่เด็ก เฉินผิงอันจึงไม่คิดจะพูดเรื่องนี้กับนาง หลีกเลี่ยงไม่ให้นางคิดมาก
แต่หากเปลี่ยนไปเป็ นลูกศิษย์ผู้ภาคภูมิใจบางคนที่เป็ นตัวการ เฉินผิงอันจะไม่จับคอห่านขาวใหญ่มามัดเป็ นปมได้หรือ
เสี่ยวโม่ส่ายหน้า “ไม่แน่ใจเหมือนกัน เรื่องนี้ต้องถามป๋ ายจิ่ง”
ทุกวันนี้การตั้งใจฝึกตนของเฉินผิงอันก็หนีไม่พ้นสามเรื่อง
หลอมกระบี่ ฝึกหมัด วาดยันต์
ด้านการหลอมกระบี่ หลักๆ แล้วคือวิชาอภินิหารของกระบี่บิน สองเล่มอย่าง “นกในกรง” กับ “จันทร ์กลางบ่อ” เฉินผิงอันพยายามที่ จะหลอมแม่น้ายาวแห่งกาลเวลาซึ่งมหามรรคาโคจรอย่างมีระเบียบ สายหนึ่งขึ้นมา เปลี่ยนฟ้ าดินเล็กให้มีแนวโน้มกลายมาเป็ น ‘ความ จริง’ ได้มากกว่าเดิม
และการไต่ทะยานบนวิถีวรยุทธก็เห็นได้ชัดว่าค่อนข้างจืดชืดน่า เบื่อแล้ว เฉินผิงอันฝึกซ้าไปซ้ามาก็ยังฝึกได้แค่ครึ่งหมัดเท่านั้น
หมัดบนยอดเขาสูงสุดของขอบเขตสิบเอ็ดที่ “ประหลาด” หมัด นั้นประหนึ่งตาราหมัดชั้นสูงเล่มหนึ่ง
ถูกแบ่งออกเป็ นสองส่วน ครึ่งหนึ่งอยู่บนคราบร่างเซียนเหริน คือ เนื้อหนังมังสาของหันอวี้ซู่ที่บรรพจารย์สานักการทหารจงใจทิ้งไว้ให้ นั่งเฝ้ าพิทักษ์อิ๋งฮว่อ (ดาวอังคาร)
อีกครึ่งหนึ่งก็อยู่ในภูเขาสายน้าฟ้ าดินเล็กร่างกายมนุษย์ของเฉิน ผิงอัน เท่ากับว่าเจอไปครึ่งหมัด ฟ้ าดินเล็กร่างกายมนุษย์สั่นสะเทือน
ขุนเขาสายน้าเปลี่ยนเส้นทาง….ทุกหนทุกแห่งล้วนทิ้งร่องรอยของ วิชาหมัดเอาไว้
ส่วนการวาดยันต์นั้นเปลืองเวลาอย่างมาก มองดูเหมือนเฉินผิง อันแบ่งสมาธิไปท าเรื่องอื่น แต่อันที่จริงอาศัยการศึกษายันต์ก็คือ กุญแจสาคัญที่เฉินผิงอันใช ้ชดเชยการดารงอยู่ของสิ่งที่คล้ายคลึง กับท่าเรือและผู้โดยสารตลอดเส้นทางของแม่น้าแห่งกาลเวลาให้ ครบถ้วน
เฉินผิงอันยิ้มพลางเอ่ยเชื้อเชิญ “ไป ข้าจะพาเจ้าไปดูของสะสม บางส่วนของข้า รวมไปถึงดูว่าข้าฝึกตนอย่างไร”
เสี่ยวโม่รอคอยเรื่องนี้มานานมากแล้ว ประสานมือคารวะเอ่ยว่า “น้อมรับคาสั่ง”
หดย่อภูเขาสายน้าไปพร ้อมกับเสี่ยวโม่ กลับที่เรือนไม้ไผ่ด้วยกัน
เฉินผิงอันเดินนาเข้าไปยังชั้นหนึ่งของเรือนไม้ไผ่ที่ไม่ได้ปิดประตู ก่อน ริ้วคลื่นกระเพื่อมขึ้นมาระลอกหนึ่ง เสี่ยวโม่เดินตามหลังไปติดๆ หลังจากเดินก้าวเข้ามาในห้องแล้วก็มีฟ้ าดินอีกแห่งหนึ่ง
ฟ้ าดินกว้างใหญ่ไพศาลมองไปสุดลูกหูลูกตา คือทัศนียภาพใน “นกในกรง กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ต้องการเปลี่ยนภาพลวงตาหรือไม่ ข้า สามารถยกเอาหอสยบปีศาจหรือแม้กระทั่งภูเขาสุ้ยซานมาได้ หรือ กระทั่งภูเขาทัวเยว่ก็ยังได้ มากพอจะใช ้ของปลอมสวมรอยของจริง”
เสี่ยวโม่ยิ้มพลางส่ายหน้า “คุณชาย แค่เบาะรองนั่งใบเดียวก็ พอแล้ว”
เฉินผิงอันชี้เสี่ยวโม่ เอ่ยสัพยอกว่า “นี่ก็คือจุดที่เจ้าสู้พ่อครัวเฒ่า และเผยเฉียนไม่ได้แล้ว”
ระหว่างที่พูดด้านหลังคนทั้งสองก็มีเบาะนั่งที่ทาจากกรรมวิธีลับ ของศาลชานหลางอุตรกุรุทวีปเพิ่มมาใบหนึ่ง ก็เหมือนอย่างที่เฉินผิง อันพูดเอง เป็ นการใช ้ของปลอมมาสวมรอยของจริงอย่างจริงแท้
เสี่ยวโม่นั่งขัดสมาธิ เอ่ยอย่างเขินอายว่า “พรสวรรค์บางอย่าง อยากเรียนรู ้ก็เรียนรู ้ไม่ได้”
“ตอนอยู่ที่ภูเขาไท่ผิงใบถงทวีป ข้ากับหันอวี้ซูเจ้าสานักว่าน เหยาพบเจอกัน ตอนนั้นเขาถูกข้าหลอกจึงโดนหมัดนั้นไปเปล่าๆ สมบัติอย่างน้อยครึ่งหนึ่งที่อยู่บนร่างของเซียนเหรินผู้นี้ แม้แต่วัตถุ แห่งชะตาชีวิตก็ถูกต่อยให้แหลกสลายกลายเป็ นผุยผงด้วย ไม่มี สมบัติเหลือทิ้งไว้มากนัก แต่ปณิธานแห่งมรรคาและปราณวิญญาณ ของหันอวี้ซู่ได้หลอมรวมเข้ามาในภาพขุนเขาสายน้าภาพนี้ทั้ง หมดแล้ว”
เฉินผิงอันหยิบม้วนภาพโบราณชิ้นหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ ปล่อยให้มันลอยอยู่เบื้องหน้าตัวเอง นิ้วปาดไปบนแกนม้วนภาพที่ทา จากหยกขาวก็มีภาพน้าหมึกที่วาดเป็ นภูเขาสายน้าเปี่ยมไปด้วยกลิ่น อายของความโบราณปูแผ่ออกมา ขุนเขาสายน้าบนพื้นดินเหมือน
ถูกวาดด้วยการแรเงา บนภาพยังวาดห้าขุนเขาและเก้าแม่น้าแปดลา คลองไว้ด้วย ลงนามว่า “อาจารย์ซานซานจิ่วโหว
เฉินผิงอันสะบัดชายแขนเสื้ออีกครั้ง สมบัติหนักลับหลายชิ้นของ ส านักว่านเหยาก็พุ่งออกมาลอยตัวอยู่เบื้องหน้า ประกายแสงพลัน สาดส่องไปทั่วสารทิศในฟ้ าดิน สีสันสดใสงามจับตา
ดาบอาคมเล่มหนึ่งที่มีชื่อว่า “ชิงเสีย” อวิ๋นออ๋าว “ภาชนะในการ ทาพิธี” ที่ด้านในซุกซ่อนหุ่นเชิดวิญญาณเทพบรรพกาล และยังมี น้าเต้าสีม่วงแดงลูกหนึ่งที่สามารถหล่อเลี้ยงเปลวเพลิงสมาธิ
อันที่จริงยังมียันต์ภูเขาสายน้าที่เป็ นรากฐานของภูเขาบรรพบุรุษ ส านักว่านเหยาอีกสองแผ่น ซึ่งจะสืบทอดผ่านมือของเจ้าสานักรุ่น แล้วรุ่นเล่าเท่านั้น มิอาจแพร่งพรายให้คนนอกรู ้
เสี่ยวโม่ยิ้มกล่าว “สาหรับเซียนเหรินคนหนึ่งแล้ว เจ้าสานักหัน ถือว่ามีมาดคนรวยมากแล้ว”
เฉินผิงอันพยักหน้า “นี่ก็คือรากฐานของสานักอักษรจงเก่าแก่ แห่งหนึ่งแล้ว”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!