อ่านสรุป บทที่ 998.2 สุรา กระบี่ ดวงจันทร์ จาก กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet
บทที่ บทที่ 998.2 สุรา กระบี่ ดวงจันทร์ คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง
เสี่ยวโม่ยิ้มบางๆ “หากว่ายังรวมพวกเผ่าปีศาจที่ถือกาเนิดในยุค ดึกด าบรรพ์เข้าไปด้วยก็จะมีเยอะกว่านี้อีก เพียงแต่พวกเขาไม่เผยตัว ง่ายๆ เพราะหลังจากที่ผู้ฝึกกระบี่ในโลกมนุษย์มีมากขึ้นก็ชอบไปหา เรื่องพวกเขาที่สุดแล้ว”
เสี่ยวโม่ลังเลเล็กน้อย ครั้นจึงเอ่ยว่า “ยกตัวอย่างเช่นอาจารย์จ วินเชี่ยนศิษย์พี่ของคุณชาย ชาติกาเนิดของเขามหัศจรรย์อย่างยิ่ง ในช่วงยุคดึกดาบรรพ์ เขาก็เป็ นบุคคลที่มีจ านวนน้อยนิด เคยมีภาพ ปรากฏการณ์แห่งมหามรรคาที่ว่ายืนตระหง่านอยู่บนแผ่นดินกว้าง ใหญ่ตะวันจันทราเล็ก สยายปี กเจ็บใจเพียงแต่ฟ้ าครามต่า หาก อาจารย์จวินเชี่ยนไม่ได้ถูกศาสดาพุทธลากไปถกมรรคา ถูกพระ ธรรมกล่อมเกลานิสัยที่มีติดตัวมาแต่กาเนิดจนนิสัยเปลี่ยนแปลงไป บ้างเล็กน้อย ข้าคาดว่าผู้ถ่ายทอดมรรคาของอาจารย์เจิ้งแห่งนคร จักรพรรดิขาวที่เป็ นคนของยุคบรรพกาลก็คงไม่มีโอกาสได้สร ้างศึก พิฆาตมังกรขึ้นมาด้วยซ้า”
เสี่ยวโม่เอ่ยต่ออีกว่า “คุณชาย ข้ามีการคาดเดาอย่างหนึ่ง”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ว่ามาได้เลย”
เสี่ยวโม่กล่าว “ข้าเดาว่าการที่มังกรที่แท้จริงในใต้หล้าทรยศออก จากสรวงสวรรค์ในปีนั้น มีความเป็ นไปได้มากว่าอาจารย์จวินเชี่ยนมี
คาสัญญาบางอย่างต่อเผ่าน้าทั้งหมดของวังมังกรอย่างลับๆ โดยผ่าน ศาสดาพุทธ คล้ายจะเป็ นสัญญาท านองว่าจะไม่ท าร ้ายพวกเจียวหลง หรือสุ่ยเซียน”
เฉินผิงอันพยักหน้า “น่าจะเป็ นเรื่องจริงแล้ว”
เฉินผิงอันพลันถามว่า “เสี่ยวโม่ จากการคาดการณ์ของบน ภูเขา ขอบเขตสิบเอ็ดบนวิถีวรยุทธน่าจะมองเป็ นขอบเขตสิบสี่ของผู้ ฝึกลมปราณได้ นี่ถูกต้องหรือไม่?”
ตอนอยู่ที่ภูเขาไท่ผิง เพราะลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของตัวเอง เฉินผิงอันจึงโดนหมัดของผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบเอ็ดบางคนเข้าไป หรือควรจะพูดให้ถูกต้องคือครึ่งหมัด
ตอนนั้นเฉินผิงอันที่เป็ นขอบเขตสิบปราณโชติช่วงแล้ว เผชิญหน้ากับครึ่งหมัดนั้นก็ได้แต่ยืนนิ่งปล่อยให้อีกฝ่ ายต่อยแต่โดย ดี อย่าว่าแต่เอาคืนเลย จะตั้งท่ารับก็ยังยาก นอนอยู่ในหลุมใหญ่เป็ น นานก็ยังลุกไม่ขึ้น
ภายหลังรู้ความจริงว่าท าไมอยู่ดีๆ ตนถึงโดนครึ่งหมัดนี้แล้ว เฉิน ผิงอันก็ทั้งขาทั้งโมโห ได้แต่เป็ นคนใบ้กินหวงเหลียน เพราะถึง อย่างไรเขาก็ตัดใจดุด่าเผยเฉียนไม่ลงแม้แต่ครึ่งคา
แล้วนับประสาอะไรกับที่เผยเฉียนเป็ นคนคิดมากมาตั้งแต่เด็ก เฉินผิงอันจึงไม่คิดจะพูดเรื่องนี้กับนาง หลีกเลี่ยงไม่ให้นางคิดมาก
แต่หากเปลี่ยนไปเป็ นลูกศิษย์ผู้ภาคภูมิใจบางคนที่เป็ นตัวการ เฉินผิงอันจะไม่จับคอห่านขาวใหญ่มามัดเป็ นปมได้หรือ
เสี่ยวโม่ส่ายหน้า “ไม่แน่ใจเหมือนกัน เรื่องนี้ต้องถามป๋ ายจิ่ง”
ทุกวันนี้การตั้งใจฝึกตนของเฉินผิงอันก็หนีไม่พ้นสามเรื่อง
หลอมกระบี่ ฝึกหมัด วาดยันต์
ด้านการหลอมกระบี่ หลักๆ แล้วคือวิชาอภินิหารของกระบี่บิน สองเล่มอย่าง “นกในกรง” กับ “จันทร ์กลางบ่อ” เฉินผิงอันพยายามที่ จะหลอมแม่น้ายาวแห่งกาลเวลาซึ่งมหามรรคาโคจรอย่างมีระเบียบ สายหนึ่งขึ้นมา เปลี่ยนฟ้ าดินเล็กให้มีแนวโน้มกลายมาเป็ น ‘ความ จริง’ ได้มากกว่าเดิม
และการไต่ทะยานบนวิถีวรยุทธก็เห็นได้ชัดว่าค่อนข้างจืดชืดน่า เบื่อแล้ว เฉินผิงอันฝึกซ้าไปซ้ามาก็ยังฝึกได้แค่ครึ่งหมัดเท่านั้น
หมัดบนยอดเขาสูงสุดของขอบเขตสิบเอ็ดที่ “ประหลาด” หมัด นั้นประหนึ่งตาราหมัดชั้นสูงเล่มหนึ่ง
ถูกแบ่งออกเป็ นสองส่วน ครึ่งหนึ่งอยู่บนคราบร่างเซียนเหริน คือ เนื้อหนังมังสาของหันอวี้ซู่ที่บรรพจารย์สานักการทหารจงใจทิ้งไว้ให้ นั่งเฝ้ าพิทักษ์อิ๋งฮว่อ (ดาวอังคาร)
อีกครึ่งหนึ่งก็อยู่ในภูเขาสายน้าฟ้ าดินเล็กร่างกายมนุษย์ของเฉิน ผิงอัน เท่ากับว่าเจอไปครึ่งหมัด ฟ้ าดินเล็กร่างกายมนุษย์สั่นสะเทือน
ขุนเขาสายน้าเปลี่ยนเส้นทาง….ทุกหนทุกแห่งล้วนทิ้งร่องรอยของ วิชาหมัดเอาไว้
ส่วนการวาดยันต์นั้นเปลืองเวลาอย่างมาก มองดูเหมือนเฉินผิง อันแบ่งสมาธิไปท าเรื่องอื่น แต่อันที่จริงอาศัยการศึกษายันต์ก็คือ กุญแจสาคัญที่เฉินผิงอันใช ้ชดเชยการดารงอยู่ของสิ่งที่คล้ายคลึง กับท่าเรือและผู้โดยสารตลอดเส้นทางของแม่น้าแห่งกาลเวลาให้ ครบถ้วน
เฉินผิงอันยิ้มพลางเอ่ยเชื้อเชิญ “ไป ข้าจะพาเจ้าไปดูของสะสม บางส่วนของข้า รวมไปถึงดูว่าข้าฝึกตนอย่างไร”
เสี่ยวโม่รอคอยเรื่องนี้มานานมากแล้ว ประสานมือคารวะเอ่ยว่า “น้อมรับคาสั่ง”
หดย่อภูเขาสายน้าไปพร ้อมกับเสี่ยวโม่ กลับที่เรือนไม้ไผ่ด้วยกัน
เฉินผิงอันเดินนาเข้าไปยังชั้นหนึ่งของเรือนไม้ไผ่ที่ไม่ได้ปิดประตู ก่อน ริ้วคลื่นกระเพื่อมขึ้นมาระลอกหนึ่ง เสี่ยวโม่เดินตามหลังไปติดๆ หลังจากเดินก้าวเข้ามาในห้องแล้วก็มีฟ้ าดินอีกแห่งหนึ่ง
ฟ้ าดินกว้างใหญ่ไพศาลมองไปสุดลูกหูลูกตา คือทัศนียภาพใน “นกในกรง กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ต้องการเปลี่ยนภาพลวงตาหรือไม่ ข้า สามารถยกเอาหอสยบปีศาจหรือแม้กระทั่งภูเขาสุ้ยซานมาได้ หรือ กระทั่งภูเขาทัวเยว่ก็ยังได้ มากพอจะใช ้ของปลอมสวมรอยของจริง”
เสี่ยวโม่ยิ้มพลางส่ายหน้า “คุณชาย แค่เบาะรองนั่งใบเดียวก็ พอแล้ว”
เฉินผิงอันชี้เสี่ยวโม่ เอ่ยสัพยอกว่า “นี่ก็คือจุดที่เจ้าสู้พ่อครัวเฒ่า และเผยเฉียนไม่ได้แล้ว”
ระหว่างที่พูดด้านหลังคนทั้งสองก็มีเบาะนั่งที่ทาจากกรรมวิธีลับ ของศาลชานหลางอุตรกุรุทวีปเพิ่มมาใบหนึ่ง ก็เหมือนอย่างที่เฉินผิง อันพูดเอง เป็ นการใช ้ของปลอมมาสวมรอยของจริงอย่างจริงแท้
เสี่ยวโม่นั่งขัดสมาธิ เอ่ยอย่างเขินอายว่า “พรสวรรค์บางอย่าง อยากเรียนรู ้ก็เรียนรู ้ไม่ได้”
“ตอนอยู่ที่ภูเขาไท่ผิงใบถงทวีป ข้ากับหันอวี้ซูเจ้าสานักว่าน เหยาพบเจอกัน ตอนนั้นเขาถูกข้าหลอกจึงโดนหมัดนั้นไปเปล่าๆ สมบัติอย่างน้อยครึ่งหนึ่งที่อยู่บนร่างของเซียนเหรินผู้นี้ แม้แต่วัตถุ แห่งชะตาชีวิตก็ถูกต่อยให้แหลกสลายกลายเป็ นผุยผงด้วย ไม่มี สมบัติเหลือทิ้งไว้มากนัก แต่ปณิธานแห่งมรรคาและปราณวิญญาณ ของหันอวี้ซู่ได้หลอมรวมเข้ามาในภาพขุนเขาสายน้าภาพนี้ทั้ง หมดแล้ว”
เฉินผิงอันหยิบม้วนภาพโบราณชิ้นหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ ปล่อยให้มันลอยอยู่เบื้องหน้าตัวเอง นิ้วปาดไปบนแกนม้วนภาพที่ทา จากหยกขาวก็มีภาพน้าหมึกที่วาดเป็ นภูเขาสายน้าเปี่ยมไปด้วยกลิ่น อายของความโบราณปูแผ่ออกมา ขุนเขาสายน้าบนพื้นดินเหมือน
ถูกวาดด้วยการแรเงา บนภาพยังวาดห้าขุนเขาและเก้าแม่น้าแปดลา คลองไว้ด้วย ลงนามว่า “อาจารย์ซานซานจิ่วโหว
เฉินผิงอันสะบัดชายแขนเสื้ออีกครั้ง สมบัติหนักลับหลายชิ้นของ ส านักว่านเหยาก็พุ่งออกมาลอยตัวอยู่เบื้องหน้า ประกายแสงพลัน สาดส่องไปทั่วสารทิศในฟ้ าดิน สีสันสดใสงามจับตา
ดาบอาคมเล่มหนึ่งที่มีชื่อว่า “ชิงเสีย” อวิ๋นออ๋าว “ภาชนะในการ ทาพิธี” ที่ด้านในซุกซ่อนหุ่นเชิดวิญญาณเทพบรรพกาล และยังมี น้าเต้าสีม่วงแดงลูกหนึ่งที่สามารถหล่อเลี้ยงเปลวเพลิงสมาธิ
อันที่จริงยังมียันต์ภูเขาสายน้าที่เป็ นรากฐานของภูเขาบรรพบุรุษ ส านักว่านเหยาอีกสองแผ่น ซึ่งจะสืบทอดผ่านมือของเจ้าสานักรุ่น แล้วรุ่นเล่าเท่านั้น มิอาจแพร่งพรายให้คนนอกรู ้
เสี่ยวโม่ยิ้มกล่าว “สาหรับเซียนเหรินคนหนึ่งแล้ว เจ้าสานักหัน ถือว่ามีมาดคนรวยมากแล้ว”
เฉินผิงอันพยักหน้า “นี่ก็คือรากฐานของสานักอักษรจงเก่าแก่ แห่งหนึ่งแล้ว”
เสี่ยวโม่กล่าว “หากไม่เป็ นเพราะการฝึกตนของคุณชายมีความ มหัศจรรย์มากพอเปลี่ยนเป็ นผู้ฝึกตนเซียนดินทั่วไป เคาะอวิ๋นอ๋าวนี้ ตามเจ้าสานักหัน จานวนครั้งมากเข้าจิตใจก็จะยิ่งจมจ่อมอยู่กับมัน ง่ายที่จะธาตุไฟเข้าแทรก”
เฉินผิงอันขนลุกอยู่ในใจ เงียบไปพักใหญ่ก่อนเอ่ยว่า “เป็ นข้าที่ ประมาทแล้ว”
นี่ก็คือโรคที่ทิ้งไว้จากการยืมมรรคกถาขอบเขตสิบสี่ของลู่เฉิน มาใช ้ชั่วคราว
“เดินขึ้นสู่ที่สูงใต้หล้าก็เล็ก’ เมื่อวิสัยทัศน์กว้างไกลขึ้น สภาพ จิตใจของผู้ฝึกตนก็จะกว้างขึ้นด้วย การกระทาเช่นนี้ย่อมมีทั้งข้อดี และข้อเสีย
ลู่เฉินเคยยกตัวอย่างสองข้อให้ฟัง นามาใช ้บรรยายการเดินขึ้นสู่ ที่สูงของผู้ฝึกตนใหญ่ในโลกมนุษย์
ฟ้ าดินคือดินโคลนก้อนใหญ่ ข้าจะบีบปั้นหลอมทุบอย่างไรก็ได้
ปลูกต้นไม้ต้นหนึ่งไว้บนยอดเขา บนต้นไม้แขวนตาราไว้หนึ่งเล่ม
แต่อันที่จริงยามที่เฉินผิงอันอยู่เพียงลาพัง ส่วนใหญ่จะ ใช ้อวิ๋นอ๋าวที่วัสดุแข็งแกร่งอย่างถึงที่สุดมาฝึกซ ้อมกระบวนท่าเทพตี กลองสายฟ้ าเป็ นบางครั้งมากกว่า
ดังนั้นการตีอวิ๋นอ๋าวระหว่างฟ้ าดินนี้จึงถูกเฉินผิงอันน ามาใช ้เป็ น การผ่อนคลายอารมณ์อย่างหนึ่งมากกว่า
เสี่ยวโม่เริ่มอธิบายว่าเหตุใดตนถึงได้หยุดการกระทา “คุณชาย ข้าคือผู้ฝึกกระบี่ ทั้งยังไม่มีความปรารถนาใดๆ หากท าพิธีอัญเชิญ เทพอย่างสมบูรณ์แบบก็ต้องจ่ายเป็ นราคาบางอย่าง เพื่อให้เป็ นของ เซ่นไหว้ส าหรับเทพฝ่ายเมฆาท่านนี้”
เฉินผิงอันพยักหน้า “เชิญเทพมาง่ายส่งเทพกลับไปยาก”
จากนั้นดวงจิตของเฉินผิงอันก็เคลื่อนไหวเล็กน้อย เสี่ยวโม่ก็ มองเห็นผู้ฝึกตนหญิงคนหนึ่งมายืนอยู่กลางอากาศ นางสวมชุดคลุม อาคมสีแดงเข้ม ทั่วกายมีรัศมีแสงส่องประกายดุจรัศมีแห่งจันทร ์
สตรีเผยกายบนโลก ประดุจคนที่มีชีวิตจริง
เฉินผิงอันถาม “นางคือบุตรสาวของหันอวี้ซู่ มีนามว่าหันเลี้ยงชู เป็ นขอบเขตหยกดิบคนหนึ่ง เสี่ยวโม่ เจ้ามองออกไหมว่านางใช่เทพ กลับชาติมาเกิดใหม่หรือไม่?”
เสี่ยวโม่ส่ายหน้า “เว้นเสียจากว่าข้าได้เห็นร่างจริงของนาง ไม่อย่างนั้นก็มิอาจแน่ใจได้”
รูปลักษณ์ของสตรีที่อยู่ตรงหน้า ถึงอย่างไรก็เป็ นแค่ภาพลวงตา ที่มีแค่ “เนื้อหนังเท่านั้น
เสี่ยวโม่เอ่ยอีกว่า “แต่ว่า “เจี้ยงซู่” คือหนึ่งต้นไม้เทพยุคบรรพ กาล มีรากฐานความเป็ นมาพอๆ กับชิงถงแห่งหอสยบปีศาจ ในเมื่อ นางเป็ นลูกสาวของหันอวี่ซู่ เกิดมาก็เป็ นวัตถุดิบเซียนบนภูเขาของ สานักแห่งหนึ่งอยู่แล้ว เรื่องของการตั้งชื่อก็ไม่น่าจะตั้งตามใจเกินไป ข้าจึงเดาว่าโอกาสที่นางจะเป็ นเทพกลับมาเกิดใหม่มีค่อนข้างมาก”
เฉินผิงอันโบกชายแขนเสื้อง่ายๆ อีกครั้ง อาศัยกระบี่บินเล็กบาง หลายหมื่นเล่มในจันทร ์กลางบ่อมาสร ้างเป็ นภาพวาดภาพหนึ่ง ก็คือ ภาพที่เขากับเทพหญิงขุนนางสวรรค์ผู้นั้นคุมเชิงกัน
ขุนนางหญิงสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งยุคบรรพกาลที่เป็ นอวิ๋นซือ (ชื่อ ต าแหน่งขุนนาง สามารถควบคุมก้อนเมฆ ดูแลเรื่องการเปลี่ยนแปลง ของสภาพอากาศ) ยืนอยู่เหนือเมฆขาว ในฟ้ าดินที่หันอวี้ซู่สร ้าง ขึ้นมานั้น เฉินผิงอันที่ตรงเอวพกดาบแคบพิฆาตคุมเชิงอยู่ไกลๆ กับ เทพหญิงที่ควบคุมดูแลอวิ๋นอ๋าว เขาใช ้ปณิธานหมัดพายุลมกรดของ ผู้ฝึกยุทธสร ้างดวงจันทร ์เต็มดวงดวงหนึ่ง ประหนึ่งใช ้วิถีแห่งเทพคุม เชิงกับวิถีแห่งเทพ
อวิ๋นอ๋าวชิ้นหนึ่ง มีฆ้องและกลองแขวนไว้ทั้งหมดสิบสองชิ้น เทพ หญิงตีกลองด้วยตัวเอง จาแลงออกมาเป็ นทะเลเมฆที่เต็มไปด้วย สายฟ้ าสีทองสิบสองผืน ระหว่างทะเลเมฆแต่ละผืนมีเส้นยาวสีทองเส้น หนึ่งเชื่อมโยง สุดท้ายสร ้างเป็ นแท่นลงทัณฑ์แห่งหนึ่งขึ้นมา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!