กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 998

หงหยางโปเป็ นฝ่ ายเอ่ยถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา “ส่วนศาสตร ์การค้า ขาย วิถีแห่งการจัดการดูแล แม้ว่านายท่านจะไม่ได้ทุ่มเทความคิด จิตใจมากนัก แต่กระนั้นก็ยังถ่วงรั้งการฝึ กตนหาไม่แล้วทุกวันนี้ก็ น่าจะเป็ นดั่งคาทานายได้แล้ว”

นางรู ้สึกอ่อนใจอยู่บ้าง ไยต้องพูดเรื่องนี้ให้คนนอกฟังด้วยเล่า ประเด็นส าคัญคืออีกฝ่ ายยังเป็ นอิ่นกวานหนุ่มคนหนึ่งที่ได้แกะสลัก ตัวอักษรไว้บนหัวกาแพง พูดคุยเรื่อง “ผู้ฝึกกระบี่” กับเขา จะไม่เป็ นที่ ขบขันของคนเขาหรอกหรือ?

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “เซียนดิน” นี้ หากอยู่ที่ภูเขาตะวันเที่ยง อาจจะพอมีค่าอยู่บ้าง แต่กับภูเขาลั่วพั่วของเฉินผิงอันจะนับเป็ นอะไร ได้

ใจของเฉินผิงอันกระตุกเล็กน้อย เอ่ยว่า “ขอละลาบละล้วงถาม สักคา ยอดฝี มือที่บอกว่าผ่านทางมาในปี นั้นเป็ นบุรุษหรือสตรีวัย กลางคน?”

ส่วนคาพูดตามมารยาทที่จะให้เอ่ยชมว่าคุณสมบัติของจางไฉ่ ฉินยอดเยี่ยม ในอนาคตจะมีผลสาเร็จที่ไม่ต่า ก็ละไว้เถิด สองฝ่ ายที่ นั่งกันอยู่นี้ต่างก็เป็ นคนที่ทาการค้ามาจนเคยชิน คนพูดรู้สึกว่าไร้ เหตุผล คนฟังก็ฟังไม่รื่นหู

เนื่องจากเกี่ยวพันกับความลับ หงหยางโปจึงไม่สะดวกจะเปิ ด ปาก จึงหันไปหานายท่านของตัวเอง จางไฉ่ฉินไม่ได้ปิดบัง เอ่ยว่า “คือสตรีวัยกลางคนที่รูปโฉมไม่โดดเด่นคนหนึ่งสวมกระโปรงผ้าปัก ปิ่นไม้ นางเคยทานายดวงชะตาให้กับผู้อาวุโสในตระกูลหลายคน ทานายได้แม่นมาก ทุกเรื่องที่กล่าวมาล้วนเป็ นความจริง หลังจากนั้น มาข้าก็สามารถฟูมฟักกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มหนึ่งได้จริงๆ”

อันที่จริงยอดฝี มือไม่ทราบนามคนนี้ยังมอบของขวัญพบหน้า ให้กับจางไข่ฉินอีกหนึ่งชิ้น เป็ นจานฝนหมึกชิ้นหนึ่ง แกะสลักเป็ น ลายมังกร มีอักษรค าว่า “หนวดมังกรสามารถหลบร ้อน

สตรียังเคยแพร่งพรายความลับ ทานายว่าชีวิตนี้โชควาสนาที่ ใหญ่ที่สุดของจางไฉ่ฉินอยู่ที่สองคาว่า “ฉานทุ่ย”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับเบาๆ ยิ้มพูดเหมือนไม่ใส่ใจว่า “หากข้า เดาไม่ผิด ค าว่า “เซียนดิน” ของยอดฝีมือท่านนี้ไม่ได้หมายถึงสอง ขอบเขตอย่างโอสถทองและก่อก าเนิดอย่างในทุกวันนี้ แต่เป็ น ขอบเขตเซียนเหรินของห้าขอบเขตบน เป็ นค ากล่าวโบราณ เอาไว้ ใช ้บรรยายถึงเทพเซียนพสุธาที่ประจาการอยู่บนโลกมนุษย์”

เป็ นฝีมือของเถียนหว่านจริงๆ เสียด้วย

มีความเป็ นไปได้อย่างยิ่งว่าเถียนหว่านหมายตาในคุณสมบัติ ของจางไฉ่ ฉิน แต่กลับไม่ยินดีพานางไปอยู่ภูเขาตะวันเที่ยง เหมือนกับซูเจี้ย มอบให้คนอื่นอบรมปลูกฝัง อีกอย่างสถานะของซู

เจี้ยก็พิเศษ เป็ นขั้นตอนสาคัญที่มิอาจขาดได้ คาดว่าเถียนหว่าน น่าจะวางแผนไว้ว่าหลังจากวางแผนร่วมกับป๋ ายฉางส าเร็จแล้วก็ค่อย รับจางไฉ่ฉินไปเป็ นลูกศิษย์ผู้สืบทอด หรือไม่ก็แนะน าให้กับป๋ ายฉาง เพื่อให้อีกฝ่ายติดค้างน้าใจตนครั้งหนึ่ง?

เฉินผิงอันพลันถามว่า ““เทียบเสียดาย” ที่อยู่ในร ้านของอาจารย์ ผู้เฒ่าหง ใช่ยอดฝีมือคนนี้ที่จงใจทิ้งไว้หรือไม่?”

จางไฉ่ฉินหันมาสบตากับหยางหงโป ต่างก็ไม่รู้ว่าท าไมเฉินผิง อันถึงถามเช่นนี้

เทียบอักษรนี้มีชื่อเสียงไม่น้อยบนภูเขาของแจกันสมบัติทวีป เคย เป็ นผลงานการเขียนพู่กันที่ล้าค่าของเซียนกระบี่ในท้องถิ่นคนหนึ่ง ของอาณาเขตสู่โบราณ ถือเป็ นผลงานที่เป็ นความภาคภูมิใจก่อนที่ เขาจะพิสูจน์มรรคา แล้วก็ด้วยเหตุนี้กลับกลายเป็ นว่าเขาเขียนได้ อย่างมีกลิ่นอายแห่งจิตวิญญาณเปี่ยมล้น สะบัดน้าหมึกเต็มที่ไม่มี เก็บออมเอาไว้ เทียบที่หงหยางโปขายให้เฉินผิงอัน แน่นอนว่าเป็ น ฉบับส าเนา แต่ลายเส้นใกล้เคียงกับผลงานจริงอย่างมาก มีกลิ่นอาย ของความโบราณอย่างถึงที่สุด ถือเป็ นการเขียนด้วยวิธีแบบสอง ตะขอ (ซวงโกวคว่อเถียนคือเทคนิคการวาดภาพและเขียนพู่กันของ จีนอย่างหนึ่ง คือการใช ้เส้นตวัดปลายงอเป็ นตะขอในวาดเค้าโครง ของวัตถุ เนื่องจากจะใช ้เส้นสองเส้นที่อาจจะซ ้ายกับขวา หรือบนกับ ล่างประกบกันจึงเรียกว่าซวงโกวหรือสองตะขอ และการเติมหมึกใน ช่องวางของเส้นที่วาดร่างเอาไว้ก็เรียกว่าคว่อเถียน) จะวาดลายเส้น

เค้าโครงภายนอกก่อนแล้วค่อยเติมหมึกลงไป เป็ นเหตุให้ลายเส้น อักษรของ “เทียบเสียดาย’ เหมือนจักจั่นฤดูใบไม้ร่วงที่ลอกคราบออก และการคัดลอกเทียบอักษรบนโลกส่วนใหญ่ก็มักจะใช ้วิธีนี้

เฉินผิงอันไม่ได้พูดคุยเรื่องเทียบอักษรนี้ต่อ การพูดคุย ต่อจากนั้น หงหยางโปบอกว่าอีกเดี๋ยวจะต้องเดินทางไปเยือนเมือง หลวงกับนายท่านรอบหนึ่ง เพราะมีนัดกับสหายเก่าตอนที่ย้อนกลับ มาทางใต้พวกเขาค่อยแวะไปเป็ นแขกที่ภูเขาลั่วพั่ว

เฉินผิงอันไม่ได้รั้งตัวพวกเขาเอาไว้ เดินไปส่งพวกเขาที่หน้า ประตูร ้าน

คนทั้งสองเดินไปทางท่าเรือหนิวเจี่ยว จางไฉ่ฉินอดไม่ไหวทอด ถอนใจเอ่ยว่า “ได้เรียนรู ้แล้ว รอบคอบรัดกุมน้าสักหยดก็ไหลผ่าน ไม่ได้”

โดยเฉพาะอย่างยิ่งคาเตือนที่มองดูเหมือนเป็ นการเตือนหงหยาง โป นั่นต่างหากจึงจะเป็ นแก่นแท้ของหลักแห่งมนุษย์สัมพันธ ์

หนึ่งเพราะเท่ากับว่าต้องการยืนยันว่าตัวเองจะไปร่วมงานพิธี แน่นอน หาไม่แล้วเฉินผิงอันก็ไม่จาเป็ นต้องเอ่ยประโยคนี้

นี่ก็คือการมอบยาสงบใจให้กับแขกที่ไม่ได้รับเชิญอย่างพวกเขา สองคน

นอกจากนี้ครั้งหน้าคนที่ส่งกระบี่บินมาที่ยอดเขาจี้เซ่อ สามารถ เป็ นหอชิงฝู แน่นอนว่าจะเป็ นกรมพิธีการของแคว้นชิงซิ่งก็ได้

เมื่อเป็ นเช่นนี้ก็เท่ากับหอชิงฝูช่วยให้สกุลหลิวแคว้นชิงซิ่งสาน สัมพันธ ์ส่วนตัวกับภูเขาลั่วพั่วได้อย่างแท้จริง ถือเป็ นน้าใจที่เฉินผิง อันมอบให้กับหอชิงฝูเพิ่มเติม ไม่ถือว่าเป็ นฝนที่ตกลงมาได้ถูกเวลา แต่กลับเป็ นการปักบุปผาลงบนผ้าแพรอย่างแท้จริง ในเมื่อตัดสินใจ ว่าจะเข้าร่วมงานพิธีแล้ว ภูเขาลั่วพั่วก็เหมือนผลักเรือตามน้า ให้หน้า แคว้นชิงซึ่งอีกครั้งหนึ่งมองภายนอก อย่างน้อยที่สุดก็ในสายตาของ คนนอกก็เป็ นฮ่องเต้แคว้นชิงซิ่งที่เชื้อเชิญให้อิ่นกวานหนุ่มมาเยือน เมืองหลวงได้

ก็แค่จดหมายฉบับหนึ่งที่มองดูเหมือนเป็ น “ส่วนเกิน” เท่านั้น ภูเขาถั่วพัว หอชิงฝู ราชส านักแคว้นชิงซิ่ง ทั้งสามฝ่ ายล้วนเบิกบาน ใจ

หงหยางโปยิ้มเอ่ย “โชคดีที่เจ้าขุนเขาเฉินเป็ นคนดี”

จางไฉ่ฉินหลุดหัวเราะพรืด

หลังจากส่งหยางหงโปและจางไฉ่ฉินจากไปแล้ว เฉินผิงอันก็ ไม่ได้ไปจากร ้านทันที แต่ย้อนกลับเข้าไปในห้อง ไปเก็บอุปกรณ์ชง ชา

เด็กสาวคนนั้นหน้าแดงก่า มือหนึ่งกาชายเสื้อแน่น ด้านหนึ่งบ่น ตัวเองว่าไม่หัวไวเอาเสียเลย ถึงกับยังต้องให้เจ้าขุนเขาเฉินมาเก็บ ด้วยตัวเอง ด้านหนึ่งปลุกความกล้าเป็ นฝ่ ายทักทายเจ้าขุนเขา “เจ้า

ขุนเขาเฉิน ข้าชื่อหลันเหรา ชื่อนี้บรรพจารย์เป็ นคนตั้งให้ ข้าคือผู้ ฝึกตนของเกาะจูไช!”

พอหลุดพูดประโยคหลังออกไป เด็กสาวก็เกือบจะกระทืบเท้า ด้วยความขุ่นเคืองตัวเอง เจ้าขุนเขาเฉินจะไม่รู ้ได้อย่างไรว่าตนมา จากภูเขาหลังอ๋าว?

ร ้านผ้าห่อบุญที่อยู่บนท่าเรือหนิวเจี่ยวก็ไม่ใช่พวกนางที่จัดการ ดูแลให้หรอกหรือ

เฉินผิงอันพยักหน้ารับเบาๆ ยิ้มถามว่า “หลันเหรา อาจารย์ของ เจ้าคือใคร?”

หลันเหราคือคาเรียกขานที่ไพเราะของเรือลาเล็ก เจ้าเกาะหลิวมี พรสวรรค์ในด้านนี้จริงๆ

เด็กสาวยิ้มเอ่ย “อาจารย์มีนามว่าลั่วผู่ ทุกวันนี้ฝึกตนอยู่ในพื้นที่ มงคลของเจ้าขุนเขาเฉิน”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “นั่นหมายความว่าคุณสมบัติของอาจารย์ เจ้าดีมาก”

หลันเหราพยักหน้ารับอย่างแรง

ก็อาจารย์ของนางนี่นะ แน่นอนอยู่แล้ว!

เฉินผิงอันออกมาจากท่าเรือหนิวเจี่ยวแล้วก็กลายร่างเป็ นสายรุ ้ง พริบตาเดียวก็พุ่งไปถึงภูเขาหวงหู เห็น “สุนัขพันธ ์พื้นบ้าน” ตัวนั้น กาลังนั่งอยู่ริมน้า

เฉินผิงอันทรุดตัวลงนั่งยอง ลูบศีรษะของมัน กลั้นขาเอ่ยว่า “ล าบากเจ้าแล้ว”

ในเมื่อจนถึงทุกวันนี้มันยังไม่หลอมเรือนกาย ก็ไม่สามารถมอง เป็ นสหายบนเส้นทางการฝึกตนได้แล้ว

มันฉีกปากกว้าง สะบัดหาง

เมื่อก่อนตอนที่ถ่านดาน้อยต้องไปเรียนหนังสือในเมืองเล็ก ทุก วันเวลาเลิกเรียนก็คือช่วงเวลาที่นางอารมณ์ดีที่สุด

ข้างกายมีแม่นางน้อยชุดดาที่เป็ นผู้พิทักษ์ขวาของตรอกฉีหลง และยังมีผู้พิทักษ์ซ ้ายของตรอกฉีหลงที่ตอนเดินต้องเก็บหางอย่าง ส ารวม

เผยเฉียนชอบเดินอาดๆ เดินผ่านตรอกผ่านถนน ขอแค่ ใกล้เคียงไม่มีคน นางก็มักจะชอบตะโกนเสียงดัง

“เดินอย่างเสิบสาน ศัตรูพรั่นผวา! ใครกล้าขวางทาง กระบอง หนึ่งฟาดไป หากเป็ นสหาย พบเจอถูกชะตา เด็ดหัวหมา ข้ากินเนื้อ เจ้าดื่มน้าแกง!”

แม้จะฟังคล้องจองอยู่บ้าง แต่กลับไม่สนใจความรู ้สึกของหมา พันธ ์พื้นบ้านตัวนั้นบ้างเลย

ช่วงเวลาอันน่าอนาถที่ไม่อยากหวนกลับไปมองดูนั้น มีแต่ความ ขมขื่นที่พูดไม่ออก

ต่อให้จะสามารถพูดได้นานแล้ว ให้ตายอย่างไรมันก็ไม่ยอมพูด หากพูดจะไม่ยิ่งแล้วใหญ่หรอกหรือ?! ถ้าเผยเฉียนรู ้เข้า มันก็สงสัย อย่างมากว่าจะถูกเผยเฉียนจับแขวนแล้วตีหรือไม่

ปีนั้นทุกครั้งที่เผยเฉียนสั่งสอนโจวหมี่ลี่ ประโยคติดปากก็คือ “หมี่ลี่น้อยอ่า พวกเรา เป็ นคนจะทาตัวเหมือนผู้พิทักษ์ซ ้ายมาก เกินไปไม่ได้นะ หางชี้ขึ้นฟ้ า หัวก็ต้องทิ่มลงพื้นน่ะสิ

บางครั้งพวกเขาสามคนไปนั่งอยู่หน้าประตูร ้านของตรอกฉีหลง ด้วยกัน อาบแดดแทะเมล็ดแตง เผยเฉียนมักจะเล่าประสบการณ์ใน ยุทธภพที่รายล้อมไปด้วยอันตรายทั้งยังมีสีสันตระการตาของนาง บ่อยๆ และยังมีหลักการเหตุผลที่ต้องไม่เคยผ่านการค้นคว้าและ พิสูจน์มาก่อนอย่างแน่นอน ยกตัวอย่างเช่น “รู ้หรือไม่ว่าอาจารย์ของ ข้าเคยพูดถึงคติพจน์อันเป็ นสัจจะประโยคหนึ่งให้ข้าฟัง เงินหายากขี้ กินยาก! นี่เรียกว่าคาพูดหยาบแต่เหตุผลไม่หยาบ เอ๊ะ ไม่ถูกสิ ผู้ พิทักษ์ซ ้ายร ้ายกาจมากนัก เจ้าถึงกับกล้าเป็ นข้อยกเว้น หัวหมาอยู่ที่ ไหน?!มาๆๆ เคารพที่เจ้าเป็ นลูกผู้ชาย จะให้เจ้าได้ลิ้มรสวิชากระบี่ มารคลั่งของข้า”

โชคดีที่หมี่ลี่น้อยยังปกป้ องมันอยู่บ้าง ไม่อย่างนั้นมันต้องหนี ออกจากบ้านจริงๆ แล้วอย่าว่าแต่ตรอกฉีหลงเลย แม้แต่เมืองเล็กก็ไม่ อยู่แล้ว

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!