#ลู่หลินไม่อินประวัติศาสตร์ ภาคป๋ายลู่หลิน กับศึกชิงบัลลังก์อาณาจักรฉิน นิยาย บท 9

ภาค 2 ตอนที่ 9 แผนการต่อไป

คำตอบนี้ดูจะไม่ถูกใจลู่หลินเป็นอย่างยิ่ง คำถามใหม่ที่จี้ใจดำจึงถูกสอบถามออกมาทันที

“….แล้วเรื่องลูกของเราที่เสียไปเพราะเจ้าโง่ผู้นั้นล่ะ? ท่านไม่คิดจะแก้แค้นให้เขาบ้างเลยรึ? …”

“….เรื่องที่เจ้าต้องเสียลูก… หากนึกอยากจะแค้นเคืองใคร… เรื่องที่เจ้าโดดผาฆ่าตัวตาย หากอยากจะโทษว่าเป็นเพราะความผิดใคร ก็ให้โทษข้าเถอะ…”

“ห๋า??! ได้ยังไงกัน…”

“จริงอยู่ที่ข้ารู้สึกไม่ชอบเจ้าโง่ผู้นี้ ด้วยเจ้าโง่นี้นับเป็นคนที่ลากดึงให้เจ้าต้องเข้ามายุ่งเกี่ยวในวังวนแห่งการแย่งชิงบัลลังก์ วันแรกที่เจ้าเล่าความอย่างละเอียดให้ข้าฟัง ข้าก็โกรธแค้นเขานัก… แต่เมื่อได้มีเวลาคิดทบทวนเรื่องราวทั้งหมดให้ดีแล้ว ข้าจึงตระหนักได้ ว่าเจ้าโง่ผู้นี้ก็เป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่งเท่านั้น คนสำคัญที่ทำให้ทุกอย่างนั้นเป็นไปจริงๆ แล้วมิใช่เขา แต่เป็นข้าและเจ้านี่เอง…”

“…..”

“หากข้าไม่ฝักใฝ่แต่จะรบเพราะความคึกคะนองอยากแสดงฝีมือ ความสูญเสียแก่เผ่าและครอบครัวของเจ้าคงจะไม่เกิด… คงมิได้ทำให้อาหลินน้อยผู้น่ารักต้องกลายมาเป็นป๋ายอี้หลินผู้ร้ายกาจ คงมิทำให้ความแค้นและความโหยหาในความรักของเจ้าผลักดันเจ้าเข้าหาเจ้าโง่จนต้องเข้าสู่วังวนนี้ และคงไม่ฉวยโอกาสยามที่ได้ถือสิทธิ์ครอบครองเจ้า บังคับขืนใจจนเจ้าต้องตั้งครรภ์และทำให้เจ้าสับสนในเรื่องความเกลียดชังและความรักจนแท้งลูก…”

“……”

ลู่หลินฟังคำของเทียนหยางแล้วก็จนคำพูดที่จะเถียงด้วยเรื่องทุกอย่างเป็นจริงตามที่เทียนหยางกล่าว แต่กระนั้นก็ยังยากที่จะยอมรับ สีหน้าและท่าทางจึงยังดูดื้อดึงอย่างชัดเจน…

“ที่สำคัญในวันนั้น คนที่กดดันให้เจ้าตัดสินใจฆ่าตัวตายก็เป็นข้า มิใช่ใครอื่น… เช่นนั้นแล้วบุคคลที่เจ้าสมควรต้องแค้นเคืองมากที่สุดจึงควรเป็นข้า… มิใช่หรือ…ลู่หลิน…”

คำกล่าวนี้ทำให้ลู่หลินถึงกับอึกอักด้วยไม่อยากให้เทียนหยางต้องรู้สึกผิด…

“……ข้าจะโกรธเคืองท่านได้อย่างไร ในเมื่อท่านก็นับเป็นเหยื่อของเรื่องราวทั้งหมดไม่ต่างจากข้า… ท่านไปรบเผ่าหยวนเพราะมีคนหลอกให้อาจารย์ของท่านไป ท่านก็แค่ติดตามเขาไปเท่านั้น แม้แต่เรื่องที่ต้องรับข้าเป็นอนุก็ล้วนแต่เป็นอุบายกลั่นแกล้งของผู้อื่น…”

“ทุกอย่างล้วนเป็นอุบายของผู้อื่นนั้นนับว่าถูกต้องแล้ว แต่สาเหตุที่คนประสงค์ร้ายต้องการใช้อุบายกำจัดข้าเป็นเรื่องใด? มิใช่เพราะว่าเห็นข้าเป็นคู่แข่งแย่งชิงบัลลังก์หรอกรึ?”

ทำหน้าสลดได้แค่แวบเดียว พอได้ฟังความไม่ถูกใจ ลู่หลินก็อ้าปากเตรียมจะเถียงอีกแล้ว…

“ใช่แล้วอย่างไร ในเมื่อท่านก็เป็นองค์ชายผู้หนึ่งที่สมควรจะได้ขึ้นครองราชย์ แต่ไหนแต่ไรมาจนถึงยุคที่ข้าอยู่ บ้านเมืองใดยังมีกษัตริย์ เหล่าองค์ชายที่หมายปองตำแหน่งก็ล้วนต้องต่อสู้พิสูจน์ความสามารถเพื่อให้ได้มาซึ่งบัลลังก์ทั้งนั้น คนที่มีคุณความดีและปรีชาที่สุดจึงสมควรที่จะได้เป็นกษัตริย์ต่อไป กับคนที่คิดคดใช้วิธีการที่ต่ำช้า หากปล่อยให้ได้ขึ้นครองราชบัลลังก์ก็เหมือนฝากชีวิตราษฎรไว้ในมือทรราช สุดท้ายแล้วอาณาจักรฉินก็คงจะต้องล่มสลายหายไปอีก ท่านจะยอมทนให้เรื่องนี้เกิดขึ้นได้อย่างนั้นรึ? "

เทียนหยางฟังคำจบก็ทำเพียงอมยิ้มออกมาเพียงเล็กน้อย บ่งบอกว่ามีสติและใจเย็นเต็มที่ในบทสนทนาครั้งนี้ มิได้มีวี่แววว่าจะหงุดหงิดเลย ด้วยเพราะเข้าใจในความเป็นไปทุกอย่าง จึงได้ตั้งใจว่าจะค่อยๆ พูดค่อยๆ จาทำความเข้าใจกัน…

“จริงอยู่ที่เหล่าองค์ชายสมควรต่อสู้ใช้ความสามารถพิสูจน์ตน แต่ก็มิควรให้มีคนบริสุทธิ์ต้องเดือดร้อน สุดท้ายแล้วก็จะมีเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่ได้เป็นใหญ่ เป็นเช่นนี้มาทุกยุคทุกสมัย เมื่อรู้เช่นนี้แล้วเหตุใดยังต้องเข้าไปแย่งชิง มิสู้ประมาณตนเลือกทำในสิ่งที่เหมาะสมมิดีกว่าหรือ ข้ามิได้เป็นกษัตริย์ก็ใช่ว่าอาณาจักรฉินจะต้องล่มสลาย ในเมื่อตอนนี้เสด็จพี่รัชทายาทก็ยังไม่ตาย… ทั้งพี่ใหญ่และน้องสามล้วนเป็นคนที่มีความสามารถ อีกทั้งยังมีวิธีการอีกมากมายที่ข้าจะช่วยเหลืออาณาจักรได้โดยไม่ต้องเป็นกษัตริย์…”

“ช่วยเหลืออย่างไรกันล่ะ? ไปเป็นทหารในเมืองโจวแห่งที่สองอีกยังงั้นรึ? …”

เป็นเพราะไม่ชอบใจที่คำกล่าวของเทียนหยางคล้ายคนที่ไร้ซึ่งความทะเยอทะยานและไร้ความเจ้าคิดเจ้าแค้นอย่างสิ้นเชิง ถ้อยคำประชดประชันจึงได้ถูกกล่าวขานออกมาอย่างน่าตี

แต่กระนั้น เทียนหยางก็ยังมิได้มีท่าทีที่จะโกรธเคืองเลยแม้แต่น้อย ทำเพียงแค่ตั้งใจตอบความไปอย่างจริงจังเท่านั้น

"ถ้าได้เช่นนั้นย่อมเป็นเรื่องดี… ตัวข้าในตอนนี้ปรารถนาชีวิตเช่นนั้นอย่างที่สุด แค่มีเจ้าอยู่ด้วย ต่อให้ต้องเป็นทหารตำแหน่งเล็กๆ ในเมืองที่ห่างไกลย่อมต้องดีกว่าที่จะได้เป็นใหญ่แต่อ้างว้างโดดเดี่ยวในวังหลวง… เชื่อข้าเถอะลู่หลิน… เจ้ายังไม่รู้จักชีวิตในวังหรือในเมืองหลวงดีพอ… วังวนแห่งการแย่งชิงบัลลังก์นั้นไม่ต่างจากการขึ้นขี่หลังเสือ ตลอดเส้นทางเต็มไปด้วยอุปสรรคอันตรายมากมาย จะต้องสูญเสียอีกมากเท่าไหร่ก็สุดที่จะหยั่งรู้ ยามที่เจ้าเหนื่อยล้าเมื่อไหร่ อยากจะลงก็ลงไม่ได้ เพราะมีแต่จะต้องตายเสียก็เท่านั้น…. มิสู้ออกไปอยู่ในเมืองที่ห่างไกลเสียหน่อย แต่ไร้ซึ่งเล่ห์กลอันตราย กลับมาช่วยเหลือราชกิจแค่ในยามที่จำเป็นหรือมีศึกสงครามเท่านั้น ได้สร้างครอบครัวเล็กๆ ที่เป็นสุขกับเจ้า ชีวิตเช่นนั้นจึงนับว่าวิเศษสุด…"

คำกล่าวนี้ของเทียนหยางนั้น จะนับว่าน่าหงุดหงิดใจก็ได้อยู่ แต่ในขณะเดียวกันมันก็ชวนให้อิ่มเอิบใจได้ไม่แพ้กัน เพราะคำกล่าวของอีกฝ่ายไม่ต่างจากการบอกว่าในชีวิตนี้นอกจากเขาก็มิได้ต้องการอย่างอื่นอีกแล้ว จึงทำให้ลู่หลินต้องถึงกับใบหน้าเห่อร้อนออกมากอย่างเขินอายกับคำกล่าวคล้ายบอกรักก็ไม่ใช่ ขอแต่งงานก็ไม่เชิงนี้…

อยากจะตอบออกไปว่า ‘แต่งครับ!!!’ ให้รู้แล้วรู้รอด แต่คิดว่าเอ่ยออกไปพ่อพระเอ้กพระเอกวัตถุโบราณนี่ก็คงจะไม่เข้าใจ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: #ลู่หลินไม่อินประวัติศาสตร์ ภาคป๋ายลู่หลิน กับศึกชิงบัลลังก์อาณาจักรฉิน