ภาค 2 ตอนที่ 8 ตัวตนของอาจารย์ลีและเจ้าโง่
“นี่ท่านกำลังจะบอกว่า? …..”
“ใช่แล้ว… จากบริบททั้งหมดที่รายล้อม ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่เขียนบันทึกลับ ผู้ที่ต้องการแก้ไขอดีตที่ผิดพลาด ดูแล้วคงไม่พ้นเป็นน้องสาม… เช่นนั้นแล้ว… อาจารย์ลีของเจ้าก็คงจะเป็นน้องสามเช่นกัน…."
“!!!!!!!!”
คำบอกเล่าข้อสันนิษฐานของโจวหยางอ๋องทำให้ลู่หลินถึงกับเบิกตากว้างอย่างตกใจด้วยความคิดไม่ถึง แต่เมื่อคิดทบทวนเรื่องราวทุกอย่างอย่างละเอียดแล้วก็นับว่าเป็นไปได้จริงๆ ที่องค์ชายสามอาจเป็นผู้เขียนบันทึกในฐานะคนที่รู้เรื่องราวบทสรุปทั้งหมด และปณิธานการย้อนเวลากลับมาก็อาจจะมาจากองค์ชายสามที่กลายมาเป็นองค์ชายลี ด้วยเพราะคนผู้นี้ได้เห็นความย่อยยับของอาณาจักรฉินด้วยตาของตนเอง ย่อมไม่ต้องการให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีก ถึงได้พยายามทุกวิถีทางให้เขากลับมาช่วยตาอ๋องวัตถุโบราณนี่
หากโจวหยางอ๋องไม่ตายในเมืองโจว องค์ชายรัชทายาทก็ไม่ต้องโทษเรื่องละเลยชีวิตราษฎรสามหมื่นคน ทั้งสองพระองค์ก็จะได้อยู่ช่วยเหลืออาณาจักรต่อไป ซึ่งแน่นอนว่าอาณาจักรฉินจะไม่มีทางอ่อนแอลงเพราะมีทั้งนักปกครองที่ดีอย่างรัชทายาท จอมทัพที่แข็งแกร่งอย่างเทียนหยาง และบัณฑิตที่ชาญฉลาดอย่างองค์ชายสาม นับว่าเดินหมากตาเดียว กินหมากได้ทั้งกระดาน คนที่จะคิดเรื่องเช่นนี้ได้ย่อมต้องเป็นผู้ที่นอกจากจะรู้สึกผิดอย่างมากแล้วยังต้องมีปัญญาอันเป็นเลิศด้วย…
แต่เดี๋ยวสิ! … จริงอยู่ที่เขาคิดว่าอาจารย์ลีหน้าคล้ายเทียนหยาง หากเป็นตอนที่เขามีเพียงแค่ความทรงจำของลู่หลินย่อมต้องคิดว่าอาจารย์ลีคนนี้เป็นหนึ่งในพี่น้องของเทียนหยางไม่ต่างไปจากนี้ แต่ยามนี้เขาได้รับความทรงจำของป๋ายอี้หลินมาด้วยแล้วย่อมต้องจดจำใบหน้าของผู้คนในอดีตได้ด้วย แต่กลับไม่เคยได้พบเห็นคนที่มีใบหน้าแบบอาจารย์ลีมาก่อนเลย เช่นนั้นแล้วอาจารย์ลีจะเป็นองค์ชายสามไปได้อย่างไร
“ข้าไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้… ข้าจดจำใบหน้าอาจารย์ลีได้ดี หากพบเห็นที่อื่นอีกย่อมต้องจำได้ จากความทรงจำของป๋ายอี้หลิน ข้าจำได้ว่าเคยเข้าวังถวายงานฮองเฮาหลายครั้ง แต่ก็มิเคยได้พบเจอคนที่มีใบหน้านี้มาก่อน เช่นนั้นแล้วอาจารย์ลีจะเป็นองค์ชายสามได้อย่างไร…”
“เจ้าได้เข้าวังบ่อยก็จริง แต่ลองนึกดูดีๆ ว่ามีสักครั้งหรือไม่ที่ได้พบองค์ชายองค์อื่นนอกจากข้าที่วังหลังเพราะแผนการร้ายนั่น…
เป็นธรรมเนียมของราชวงศ์ที่เมื่อเริ่มเติบโตขึ้น องค์ชายทุกองค์ต้องแยกย้ายกันออกไปมีตำหนักของตัวเอง เหลือเพียงแค่องค์ชายรัชทายาทเท่านั้นที่ยังได้อยู่ในวังบูรพาที่อยู่ในขอบเขตของวังหลวง… ตอนนั้นพี่ใหญ่และน้องสามเองก็แยกตัวออกไปแล้ว… อาจจะมีแวะเวียนมาเยี่ยมฮองเฮาอยู่บ่อยครั้งตามประสาบุตร แต่ก็มิใช่ว่าจะบังเอิญผ่านมาให้เจ้าได้พบเห็นโดยง่ายเสียเมื่อไหร่…”
คำทักนี้ของเทียนหยางกระตุ้นเตือนให้ลู่หลินได้ทบทวนความทรงจำของป๋ายอี้หลินอี้หลินอีกครั้งแล้วก็พบว่าทุกอย่างเป็นไปตามที่อีกฝ่ายกล่าวจริง จากความทรงจำของป๋ายอี้หลิน ทุกครั้งที่เข้าวังเพื่อมาบรรเลงดนตรีในวัง ส่วนใหญ่จะเป็นไปเพื่อความบันเทิงส่วนพระองค์ของฮองเฮา น้อยครั้งนักที่พระองค์จะเชิญแขกอื่นมาร่วมด้วย หรือต่อให้เชิญมา ส่วนใหญ่แขกที่ป๋ายอี้หลินได้พบก็เป็นบรรดาเจ้าจอมนางในในวังหลังนั่นแหละ
“ข้าทบทวนแล้วพบว่าจริงดังที่ท่านว่า… เช่นนั้นแล้ว… จะเป็นไปได้หรือไม่ว่าแท้จริงแล้วคนที่อยู่เบื้องหลังการละเลยความช่วยเหลือที่เมืองโจวจริงๆแล้ว จะไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท แต่เป็นองค์ชายสามที่เป็นผู้ใส่ร้าย เขาถึงได้อยากให้ข้ากลับมาช่วยท่านให้ได้ เพราะเช่นนั้นแล้วองค์ชายรัชทายาทก็จะได้ถูกช่วยเหลือไปด้วย หากเขาต้องการให้องค์ชายรัชทายาทไม่ตายเช่นกัน นั่นก็แปลว่าแท้จริงแล้วคนผู้นี้อาจมิใช่คนเลวร้าย….”
“เรื่องนั้น… ข้าเองก็มิอาจบอกได้ คงทำได้เพียงแต่ค่อยๆ ตามสืบความหาเบาะแสกันไป ข้าเชื่อว่าเมื่อกลับไปถึงที่เมืองหลวงแล้วเจ้าได้เข้าวังไปพบหน้าทั้งน้องสามและพี่ใหญ่ ก็จะรู้เองว่าอาจารย์ลีเป็นใคร… เพียงแต่….”
เทียนหยางไม่ได้สนับสนุนความคิดของลู่หลินอย่างเต็มที่ทั้งยังดูมีเรื่องราวในใจ ลู่หลินจึงยิ่งจ้องตาคล้ายกำลังพยายามจะอ่านความคิดของเทียนหยางให้ทะลุปรุโปร่ง ทำให้เทียนหยางยิ่งลำบากใจมากขึ้นไปอีก
ด้วยเพราะลึกๆ แล้วในใจเขายังมีเรื่องติดใจอยู่กับเสด็จพี่หวงเทียนหรงอยู่มาก ยามที่เห็นว่าลู่หลินดูมีท่าทีตื่นเต้นดีใจยามที่คิดว่าเสด็จพี่อาจเป็นคนที่ดี เขาจึงรู้สึกขัดใจนัก
“เพียงแต่อะไรกันเล่า! ท่านนี่ มาทำให้ข้าอยากรู้แล้วก็เงียบ ใช้ได้ที่ไหนกัน!”
ลู่หลินก็ยังคงเป็นลู่หลิน อยากรู้อยากเห็นเป็นที่สุด มาเจอท่าทางคนทำทีเหมือนจะบอกกล่าวเรื่องสำคัญ แต่ไม่บอกออกมาสักทีก็ให้หงุดหงิดนัก จึงรีบปรี่ไปหาเทียนหยางที่นั่งอยู่ที่เตียงตั่งกลางห้องพักแล้วทำท่าทีกระเง้ากระงอดใส่ทันที
ด้านเทียนหยางเมื่อถูกจี้ให้พูดสิ่งที่คิดก็ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งก่อนที่จะตัดสินใจพูดออกไป ทั้ง ๆ ที่ลึกๆ แล้วก็หนักใจอยู่ไม่น้อย
“…เพียงแต่… ข้ายังมีเรื่องสงสัยคับข้องใจในตัวเสด็จพี่อยู่มากจึงไม่อยากจะรีบร้อนสรุปความใดๆ ว่าแท้จริงแล้วใครดีใครไม่ดี เพราะยังมีเรื่องตัวตนของคนผู้หนึ่งที่ข้ายังต้องคำนึงถึง…”
“คนผู้หนึ่ง? ใครอีกกัน? แค่รัชทายาทกับองค์ชายสามยังไม่พออีกรึ? ยังจะมีใครอีกกัน? …”
ลู่หลินสงสัยจริงจัง เพราะแค่สองคนนี้ก็นับว่าเรื่องใหญ่แล้ว หากต้องมีคนที่สามเกิดขึ้นมาอีกเล่าจะหนักหน่วงสักเพียงไหน
“คนผู้นั้นก็คือเจ้าโง่ของเจ้านั่นไง…”
ยามที่เทียนหยางพูดบอกออกไปแล้วเห็นว่าลู่หลินทำสีหน้าเหวอไปนิดๆ ก่อนจะกลับมานิ่งขรึมขึ้น เทียนหยางก็สามารถคาดเดาได้ทันทีว่ายามที่เป็นเรื่องนี้ อารมณ์ของป๋ายอี้หลินคงจะไม่ใคร่สดใสเท่าไหร่นัก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: #ลู่หลินไม่อินประวัติศาสตร์ ภาคป๋ายลู่หลิน กับศึกชิงบัลลังก์อาณาจักรฉิน