"ส่งเสด็จพระมเหสีหวา" กงกงตะโกนเสียงสูง พระมเหสีหวาทรงสะดุ้งเล็กน้อย หันกลับไปทอดพระเนตรผู้คนเบื้องหลังด้วยดวงพระเนตรที่ดุดัน แล้วทรงจากไปด้วยความพิโรธ
พระมเหสีหวาเสด็จกลับแล้ว องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ก็หันกลับมาทอดพระเนตรไปยังนายพลฉี : "เจ้านี่มัน!"
พระองค์ทรงชี้ฉีจือซาน แล้วทรงกลับสู่พระที่นั่ง มิตรสหายนานนับหลายปี ฉีจือซานเป็นคนอย่างไรองค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงรู้ดีเป็นที่สุด วันนี้ได้ล่วงเกินพระมเหสีหวาไป ก็จงรีบสร้างบุญกุศลให้มากเถิด
"ฝ่าบาท" ฉีจือซานเดินไปยืนข้างฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นเวลานี้กลายเป็นเด็กดีกว่าครั้งไหนๆ ฉีจือซานเองไม่เคยที่จะละเลยสายเลือดที่ไหลเวียนในตัวลูกสาวและร่างกายที่แข็งแรงของนาง
"เรื่องอันใด?" องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทอดพระเนตรไปยังฉีจือซานที่สีหน้าเต็มไปด้วยความคลุมเครือ อดไม่ได้ที่จะสงสัย สร้างความโกรธแค้นเคืองขุ่นให้พระมเหสีหวาไปแล้ว องค์จักรพรรดิเองยังมิทันจะได้ตรัสอะไรเลย ฉีจือซานยังจะไม่พอใจอะไรอีก
"ฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องอยากจะทูลขอ"
"เรื่องอะไร?" องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงถามขึ้นมาด้วยความแปลกพระทัย
นายพลฉีจึงพูดขึ้นว่า : "กระหม่อมมีอวิ๋นอวิ๋นเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียว ชีวิตที่แก่ชราของกระหม่อมขอใช้มันเพื่อปกป้องอวิ๋นอวิ๋น ฝ่าบาท ขอฝ่าบาทได้ทรงโปรดอนุญาตให้อวิ๋นอวิ๋นหย่ากันด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ"
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงทอดพระเนตรไปยังฉีเฟยอวิ๋นด้วยความลำบากพระทัย แล้วทรงหันไปทอดพระเนตรหนานกงเย่ที่อยู่ตรงนั้นอย่างเงียบสงบ
"เรื่องนี้ข้าดูแล้ว ควรรออีกสักระยะ ในเมื่อข้าได้รับปากพระชายาเย่ให้กลับบ้านแม่ไปอยู่เป็นเพื่อนเจ้าสักสักพัก ก็ควรจะรออีกสักหน่อยแล้วค่อยว่ากัน ถึงเวลานั้น หากยังรู้สึกไม่เหมาะสม อยากจะหย่ากัน ก็หย่ากันเถิด"
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงมองออก พระองค์ทรงรู้ดีว่าพระอนุชาของพระองค์เป็นแบบคนไหน คนอื่นที่อยากแต่งเขากลับไม่ไปสู่ขอ คนอื่นอยากจะหย่าเขากลับไม่ยอมหย่า ชอบทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม ขัดกับผู้อื่นเสมอ
เรื่องอภิเษกสมรสเขาได้ดันทุรังจนได้อภิเษกกัน ส่วนเรื่องจะหย่าร้าง เกรงว่าเขาจะไม่ยอมประนีประนอมง่ายๆ น่ะสิ!
ตอนนี้องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงทำได้เพียงตัดสินใจผ่อนปรนเรื่องนี้ไปก่อนชั่วคราว
นายพลฉีกำลังจะเถียงต่อเหตุผล แต่ถูกฉีเฟยอวิ๋นดึงแขนไว้ เรื่องวันนี้จึงหยุดไว้เพียงเท่านี้ องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงแสดงออกชัดเจนว่าไม่ได้คิดจะให้เธอหย่ากันอยู่แล้ว พูดต่อไปก็ไร้ประโยชน์ ไม่พูดเสียจะดีกว่า
ฉีเฟยอวิ๋นส่ายหน้าเบาๆ นายพลฉีหันมองไปยังหนานกงเย่ที่เฉยเมยตั้งแต่ต้นจนจบ จึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า : "ชั่งเถิด เรื่องวันนี้ก็หยุดไว้เพียงเท่านี้ก็แล้วกัน"
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้จึงตรัสขึ้นว่า : "ข้าเองก็เหนื่อยแล้ว ถ้าไม่มีเรื่องอื่นก็กลับไปก่อนแล้วกัน ข้าจะไปดูอ๋องตวนเสียหน่อย"
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงลงจากที่ประทับ แล้วทรงทอดสายพระเนตรไปยังฉีจือซาน ส่งสัญญาณให้ฉีจือซานและฉีเฟยอวิ๋นออกไปก่อน ฉีจือซานจึงได้พาฉีเฟยอวิ๋นออกไป
เมื่อทรงเห็นสองพ่อลูกพากันออกไปแล้ว องค์จักรพรรดิอวี้ตี้จึงหันกลับมาทอดพระเนตรหนานกงเย่ : "อ๋องเย่ เจ้าก็มาด้วย"
หนานกงเย่จึงเดินตามไปด้วย
ฉีเฟยอวิ๋นเดินตามฉีจือซานออกมา เมื่อทั้งคู่เดินออกมากจนถึงนอกวังแล้ว ฉีจือซานจึงพูดขึ้นว่า : "พ่อจะทูลเรื่องหย่ากันกับฝ่าบาท ทำไมเจ้าถึงห้ามพ่อไว้ อวิ๋นอวิ๋น พ่อดูแล้วหนานกงเย่ไม่ได้เป็นคนดีอะไรเลย"
ฉีเฟยอวิ๋นที่ร่างกายยังบาดเจ็บ แต่นางพยายามข่มเอาไว้ ดึงแขนของนายพลฉีหันมาอธิบายว่า : "ท่านพ่อ เรื่องหย่ากันข้าจะต้องจัดการอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้ยังหย่ากันไม่ได้เราก็ไม่ควรจะดันทุรังเกินไป ควรรอสักพักก่อนค่อยว่ากัน ฝ่าบาททรงอนุญาตให้หม่อมฉันกลับไปอยู่เป็นเพื่อนท่านพ่อแล้ว เรายังมีเวลาอีกหลายเดือน ไม่แน่หนานกงเย่อาจจะออกมาขอหย่าเองก็ได้เจ้าค่ะ"
"พ่อฟังเจ้า" นายพลฉีเห็นฉีเฟยอวิ๋นที่กำลังลำบากใจ ไม่ว่าจะหย่ากันหรือไม่ วันข้างหน้ามันอาจจะกลายเป็นเรื่องของสองบ้านก็ได้ ใช้ชีวิตยากลำบากแน่นอน เมื่อคิดแบบนี้ก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา และเกลียดหนานกงเย่ยิ่งขึ้นไปอีก
สองพ่อลูกกลับถึงจวนนายพลอย่างรวดเร็ว
ฉีเฟยอวิ๋นกลัวว่าจะมีปัญหาแล้วเรื่องบานปลาย จึงบอกกับนายพลฉี ว่าร่างกายของนางอ่อนแอ ต้องฟื้นฟูสักระยะหนึ่ง หากไม่ใช่เดือนสองเดือนก็จะไม่หาย แม้แต่คนในบ้านก็ยังต้องปกปิด ยกเว้นเพียงสาวใช้ประจำตัวยาโถวและหัวหน้าผู้ดูแล นอกเหนือจากนี้ก็ไม่มีผู้อื่นรู้เรื่องนี้อีก
เพียงไม่นานข่าวคราวก็ถูกแพร่กระจายออกไป เมืองหลวงเต็มไปด้วยความโกลาหล
ข่าวคราวนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับฉีเฟยอวิ๋นริษยาในพระชายาตวน ได้แอบทำร้ายพระนางลับหลัง จึงถูกท่านอ๋องตวนสั่งสอน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ