ฉีเฟยอวิ๋นเรียกหมอจากในจวนก่อนหน้านั้นมาพบ และพูดคุยกับเขาอยู่ครู่หนึ่ง
ช่วงบ่ายหนานกงเย่กลับมาจากข้างนอก ฉีเฟยอวิ๋นก็เป็นลมหมดสติลงที่ด้านหน้าห้องโถง หมอในจวนต่างรีบร้อนกันเข้ามา หนานกงเย่กอดฉีเฟยอวิ๋นไว้ ใบหน้าซีดเซียวราวกับกระดาษ
หมอในจวนต่างคุกเข่าลงกับพื้น ฉีเฟยอวิ๋นมีสีหน้าที่ซีดขาวจนน่าตกใจ
"ท่านอ๋อง เป็นเพราะหม่อมฉันไม่มีความสามารถเพคะ" ฉีเฟยอวิ๋นกระทำอย่างรีบร้อน ฮองเฮาและพระสนมเอกเซียวต่างก็กล่าวเช่นนั้น
หนานกงเย่เกือบจะหัวเราะออกมา แต่ก็เก็บอั้นไว้
"เป็นเพราะข้าเองที่ดีใจจนลืมตัว" หนานกงเย่มองไปที่หมอในจวนที่ต้องมาซวยไปด้วย "เร็วเข้าสิ!"
"พ่ะย่ะค่ะ"
หมอในจวนต่างคุกเข่าอยู่ตรงหน้าของฉีเฟยอวิ๋น หมอในจวนตรวจวัดชีพจรและตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง และรีบถอยหลังก้มศีรษะลงกับพื้น
"ท่านอ๋องได้โปรดยกโทษให้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ! ได้โปรดยกโทษ......"
"ลากออกไป ลงโทษโดยการโบยสองร้อยครั้ง!"
ใบหน้าของหนานกงเย่เย็นชา อาอวี่เข้ามาและลากตัวคนออกไป หมอในจวนตะโกนร้องขอชีวิตเสียงดัง ทำให้คนในจวนต่างตกใจกลัวจนตัวสั่น
เมื่ออุ้มฉีเฟยอวิ๋นขึ้นมา หนานกงเย่ก็ออกไปข้างนอก หมอในจวนต่างคุกเข่ามองไปข้างนอก
หนานกงเย่ออกมาจากห้องโถงด้านหน้า หมอในจวนจึงกล้าเงยหน้าขึ้นมา ในใจคิดช่างโชคร้ายเหลือเกิน โบยสองร้อยครั้ง ก็เท่ากับต้องตาย?
ฉีเฟยอวิ๋นถูกอุ้มกลับเรือนสวนดอกกล้วยไม้ หงเถาและลี่ว์หลิ่วรีบปิดประตูแน่น ทั้งสองร้องไห้ราวกับสูญเสียพ่อแม่ไป พ่อบ้านอาวุโสเห็นแล้วก็รู้สึกซาบซึ้งใจ
พ่อบ้านอาวุโสอดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมา ผ่านไปเพียงไม่กี่วัน
ท่านอ๋องก็ช่างประมาทเสียจริง
วันนี้ทังเหอก็อยู่ที่นั่น และได้ออกคำสั่งให้คนในจวนทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้นและห้ามพูดถึง ทำเป็นไม่รับรู้เรื่องที่เกิดขึ้น
ทุกคนในจวนท่านอ๋องต่างก็เห็นหมอในจวนที่ถูกโบยแล้วถูกนำไปโยนทิ้งที่ในคุกใต้ดิน ใครก็ไม่กล้าทำอะไร เรื่องของเด็กก็เป็นเหมือนดาบแท่งหนึ่ง ฆ่าคนได้
เมื่อมีคนถาม หมอในจวนก็คิดคำแก้ตัวขึ้น หมอในจวนคนนั้นเดิมทีเป็นคนหนุ่ม ได้จ้องดูพระชายาจึงทำให้ท่านอ๋องโมโห จึงทำให้เป็นเช่นนี้
ฉีเฟยอวิ๋นพักฟื้นร่างกายอยู่เจ็ดแปดวัน ช่วงเวลาเหล่านั้น หนานกงเย่นอกจกาออกไปจัดการธุระในราชสำนัก เขาก็อยู่กับฉีเฟยอวิ๋นตลอดเวลา
เขาเป็นกังวลอย่างมากเกี่ยวกับเรื่องบนเตียงของคนรุ่นหลัง เล่นกันหนักเกินไป
เมื่อเข้าห้องมาก็ถอดเสื้อผ้าออก เมื่อออกจากประตูไปใบหน้าของเขาจะไร้ชีวิตชีวา
เมื่อเวลาผ่านไปเจ็ดแปดวัน ฉีเฟยอวิ๋นก็ออกมาเดินเล่นรับแสงแดดภายในเรือน
ผู้ที่รู้เรื่องนี้มีไม่มากนัก ปิดปากหมอในจวนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นเดินทางไปพบหมอในจวนที่ถูกโบยคนนั้นด้วยความรู้สึกผิด
หมอในจวนเห็นฉีเฟยอวิ๋นจึงรีบลุกขึ้น แต่เมื่อคิดดูคนที่ถูกโบยจนแทบตายแล้ว จะลุกขึ้นได้อย่างไร
หมอในจวนร้องไห้ ฉีเฟยอวิ๋นพยายามเกลี้ยกล่อมและกล่าวโทษเธอเอง หมอในจวนจึงเงียบลง
หลังจากรู้สึกผิด ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกรับไม่ได้ จึงได้ทำการแต่งตั้งหมอในจวนเลื่อนขั้นเป็นที่ปรึกษาหมอประจำเรือนในจวน
ตำแหน่งที่ปรึกษาหมอประจำเรือนนั้นเป็นระดับสูงสุดในบรรดาหมอ เมื่อพูดคุยเรื่องการเลื่อนขั้นเสร็จสิ้นจึงกลับออกมา
หมอคนอื่นๆ ต่างมีสีหน้าหมองคล้ำ พระชายาช่างเลอะเลือน ถูกโบยก็สามารถเลื่อนขั้นให้เป็นที่ปรึกษาได้ เช่นนั้นต่อไปทุกคนคงแย่งกันเพื่อจะถูกโบย
ไม่นานเรื่องการตั้งครรภ์ก็เงียบหายไป
ฉีเฟยอวิ๋นก็ได้ผ่านช่วงเวลาหนึ่งเดือนในการแท้งบุตรไปได้
หมอโจวในจวนที่นอนอยู่บนเตียงมาแรมเดือน ตอนนี้ก็หายดีแล้ว และยังได้รับใช้ดูแลฉีเฟยอวิ๋น
ใบหน้าของฉีเฟยอวิ๋นเปล่งประกายอย่างมากในเดือนนี้ ใบหน้าดูมีน้ำมีนวลและมีแก้มทั้งสองข้าง ผิวพรรณก็ดูดีกว่าเมื่อก่อนมาก
หนานกงเย่รับประทานอาหารและเหลือบมองไปที่ใบหน้าของฉีเฟยอวิ๋น และอดไม่ได้ที่จะจูบเธอ
หงเถารีบก้มหน้าลงมองที่พื้น ท่านอ๋องก็ไม่รู้สึกอายเลย
ฉีเฟยอวิ๋นมองค้อนหนานกงเย่ และคีบเนื้อหนึ่งชิ้นเข้าไปในปาก
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกเศร้าเล็กน้อย คนอื่นก็ตั้งครรภ์ เธอก็ตั้งครรภ์ คนอื่นชอบกินอาหารรสเปรี้ยว และไม่ชอบกลิ่นคาว แต่เธอชอบกินปลาและกินเนื้อสัตว์ และกินมาเป็นเวลาหนึ่งเดือนแล้ว กินจนร่างกายอ้วนขึ้น
"จักรพรรดิมีพระราชโองการให้เข้าวังไปตรวจวัดชีพจรให้กับทั้งสองตำหนัก ประเดี๋ยวจะต้องเข้าวัง" ฉีเฟยอวิ๋นรับพระราชโองการของจักรพรรดิอวี้ตี้มาแล้ว
"ข้าจะเข้าวังไปกับเจ้า" หนานกงเย่บอกปัดภารกิจที่ต้องทำในวันนี้ เพื่อติดตามเข้าวังไปกับฉีเฟยอวิ๋น ท้องของเธอยังดูไม่ออกในขณะนี้ แต่เขาจับและสัมผัสรับรู้ได้แล้ว หากให้เธอเข้าวังไปคนเดียว เขาเกรงว่าเขาจะเป็นกังวลอย่างมาก
"เพคะ"
ฉีเฟยอวิ๋นตอบตกลง หลังจากรับประทานอาหารเสร็จทั้งสองก็เข้าวังหลวง
การเข้าวังในครั้งนี้ทุกอย่างดูราบรื่น ได้เข้าพบและถวายพระพรพระพันปี หลังจากนั้นฉีเฟยอวิ๋นก็ไปเข้าพบทั้งสองตำหนัก
หนานกงเย่ถูกเรียกให้ไปเล่นหมากรุกกับจักรพรรดิอวี้ตี้ วันนี้เป็นวันที่บังเอิญมาก ไม่เพียงแค่หนานกงเย่และฉีเฟยอวิ๋นเท่านั้นที่เข้าวังมา แต่ยังมีท่านอ๋องตวนและพระชายารองอวิ๋น
หนานกงเย่นั่งสักพักและคิดจะกลับ แต่สุดท้ายก็ถูกพระชายารองอวิ๋นขวางทางไว้
ทันทีที่เห็นหนานกงเย่ อวิ๋นหลัวฉวนก็กลอกตาไปมา และรีบถวายพระพรจักรพรรดิ หลังจากนั้นจึงหันกลับไปจ้องมองหนานกงเย่
หนานกงเยี่ยนกล่าวอย่างไม่อดทน "กลับกันเถอะ ในเมื่อก็ถวายพระพรเสด็จแม่เรียบร้อยแล้ว เช่นนั้นก็กลับก่อนเถอะ"
หนานกงเยี่ยนก็ไม่อยากอยู่ต่อไป เกรงว่าจะเกิดเรื่องน่าขบขันเข้า
หลังจากผ่านการอบรมสั่งสอนอย่างดีมาหนึ่งเดือน ผลลัพธ์กลับเป็นเพียงเงียบเฉยไม่พูดไม่จาเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้คน มีมารยาทขึ้นมาบ้าง อย่างอื่นกลับไม่มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้นเลย
หากไม่ใช่เป็นเพราะฉูฉู่ไม่ต้องการเข้าวัง ก็คงไม่ให้นางติดตามมาด้วย
อวิ๋นหลัวฉวนยังไม่ตกลง "ท่านอ๋อง วันนี้เสด็จแม่ชื่นชมว่าหม่อมฉันเรียบร้อย และอนุญาตให้หม่อมฉันอยู่ในวังนานขึ้นเพื่อเรียนรู้มารยาทเพคะ"
หนานกงเย่ไม่ได้มองออกไป "ในจวนก็สามารถเรียนมารยาทได้ กลับไปเถอะ"
"จักรพรรดิ หม่อมฉันต้องการอยู่ที่นี่เพื่อเรียนรู้ขนบธรรมเนียมมารยาท และหม่อมฉันยังสามารถไปพบพระชายาเย่เพื่อพูดคุยกันได้อีก หม่อมฉันและพระชายาเย่เจอกันครั้งแรกก็รู้สึกถูกคอและชอบพอเพคะ!"
ไม่ง่ายเลยที่อวิ๋นหลัวฉวนจะจับฉีเฟยอวิ๋นได้ ปกติอยู่ในจวนท่านอ๋องตวนมีคนคอยเฝ้าดูและควบคุม ไม่สามารถออกมาได้เลย ยากมากที่เข้าวังมาแล้วจะได้เจอกับฉีเฟยอวิ๋น โอกาสที่หายากเช่นนี้ จะปล่อยไปได้อย่างไร
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ