อ๋องตวนเคาะสมุดบันทึกในมือ: "เจ้าคิดจะทำเช่นไร?"
“เรื่องเมื่อคืนจนถึงเช้านี้ก็มีคนรู้ไม่มากนัก จวนอวี้ชินอ๋องนองเลือดเป็นสัญญาณชี้เป้ามายังข้า”
“เช่นนั้นเจ้าจะทำเช่นไร?” อ๋องตวนถาม
“ข้าจะไม่แบกรับเรื่องการสังหารและลอบวางเพลิงไว้ ผู้ใดเป็นผู้สังหาร ผู้ใดก็รับไป”
อ๋องตวนมองไปยังองค์จักรพรรดิอวี้ตี้: "ฝ่าบาทหล่ะพะย่ะค่ะ?"
จักรพรรดิอวี้ตี้มองหนานกงเย่: "ความหมายของอ๋องเย่ก็คือความหมายของข้า!"
อ๋องตวนมองดูหนานกงเย่ หนานกงเย่ก็หันหลังกลับแล้วจากไป
ฉีเฟยอวิ๋นมองดูเขาราวกับทะลุทะลวงสายรุ้งได้ จากไปราวกับลมกระโชกแรงและสายฟ้าฟาดจึงอดไม่ได้ที่จะเรียกเขา: "ท่านอ๋อง"
หนานกงเย่เดินไปถึงตรงประตูแล้วหยุด: "รออยู่ที่วังดีๆ ข้าจะออกไปชั่วครู่"
กล่าวจบหนานกงเย่ก็จากไป ฉีเฟยอวิ๋นเดินไปยังหน้าประตูตำหนักบำรุงฤทัยและมองดูหนานกงเย่เดินจากไป ผลสุดท้ายไปครั้งหนึ่งนั้นใช้เวลาถึงสามวัน
สามวันนี้นางไม่ได้ออกจากตำหนักบำรุงฤทัยเลย อ๋องตวนและองค์จักรพรรดิอวี้ตี้เล่นหมากรุกกันตลอด
ฉีเฟยอวิ๋นไปดูเป็นครั้งคราวพร้อมทั้งสังเกตการณ์ดูองค์จักรพรรดิอวี้ตี้และอ๋องตวน
หนานกงเย่อยู่ข้างนอกไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย ทั้งสองคนเล่นหมากรุกกันทุกวันและใช้ชีวิตผ่านไปอย่างสบายๆ
“พระชายาได้เวลาทานอาหารแล้ว” เมื่อถึงเวลาทานอาหาร สวีกงกงเชิญฉีเฟยอวิ๋นไปทานอาหาร ฉีเฟยอวิ๋นมองย้อนกลับไปเห็นว่าอาหารเตรียมพร้อมไว้แล้ว จักรพรรดิอวี้ตี้และอ๋องตวนก็ลุกขึ้นนั่งลงแล้ว
เป็นเรื่องยากที่จะได้ร่วมโต๊ะเสวยกับองค์จักรพรรดิ สำหรับคนบางคนแล้วนับว่าเป็นเกียรติยิ่งนัก แต่สำหรับฉีเฟยอวิ๋นแล้วกลับรู้สึกยากลำบากกว่าการถูกลงทัณฑ์
ทำอาหารยังต้องดูสีหน้าของคน ทานเรียบร้อยแล้วก็เฉกเช่นเดียวกับยังไม่ได้ทาน อย่างไรก็ทานไม่อิ่ม
กลับมาถึงที่โต๊ะนั่นแล้วต้องโค้งคำนับซะก่อนแล้วนั่งลงเริ่มรับประทานอาหารกัน
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงถามว่า: "อาหารไม่ถูกปากหรือ?"
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า: “ใช้ได้เพคะ”
“สิ่งของในวังนั้นดีกว่าด้านนอกมาก น้องคิดว่าช่างดียิ่งนัก” อ๋องตวนกล่าว
ฉีเฟยอวิ๋นมองดู: "เช่นนั้นอ๋องตวนทานมากหน่อย"
อ๋องตวนหยิบตะเกียบคีบเนื้อให้ฉีเฟยอวิ๋น: "เจ้าทานมากๆหน่อยนะ"
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวขอบคุณเขาแล้วมองไปยังหน้าประตูราวกับได้ยินเสียงอันใดขึ้น
แต่ดูไปแล้วไม่มีผู้ใด
ฉีเฟยอวิ๋นยังคงทานต่อแล้วเสียงแหบพร่าของสวีกงกงก็ดังมาจากหน้าประตู: "ฝ่าบาท......มีคนจากนอกวังกราบทูลว่าอ๋องเย่สืบพบคนร้ายล้างสังหารอวี้ชินอ๋องทั้งตระกูลแล้วพะย่ะค่ะ ได้แห่ไปตามท้องถนนต่อสายตาราษฎรเตรียมพร้อมตัดศีรษะแล้วพะย่ะค่ะ”
“ผู้ใดกัน?” องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ถามด้วยแววตาอันเคร่งขรึม
“เป็นคุณชายรองของจวนท่านอ๋องใหญ่ ซู่ชินอ๋องหนานกงเซวียนไหวพะย่ะค่ะ!”
อ๋องตวนยิ้มแล้วเหลือบมองยังองค์จักรพรรดิอวี้ตี้
จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงตรัสว่า: “อ๋องตวน เจ้ารีบไปหยุดเร็วเข้า ข้าจะไต่สวนด้วยตนเอง”
"พะย่ะค่ะ"
อ๋องตวนลุกขึ้นมองไปยังฉีเฟยอวิ๋นแล้วจากไป
ฉีเฟยอวิ๋นเห็นท่าทีที่ไม่รีบร้อนของอ๋องตวน ไอพร้อมกับเดินไปด้วยจึงเข้าใจขึ้นมาในทันที
อันที่จริงเขาไม่ได้ไปช่วยคนเขาเพียงแค่ไปเป็นพิธี
เป็นจริงตามนั้นไม่นานนักคนจากนอกวังมาขอเข้าเฝ้า บอกว่าเป็นอ๋องใหญ่กับอ๋องเจ็ดรวมทั้งอ๋องห้าด้วย
จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงลุกขึ้น รับสั่งให้เก็บอาหารค่ำแล้วเหลือบมองฉีเฟยอวิ๋น: "ไปด้านหลัง"
เฟยอวิ๋นย่อกายทำความเคารพแล้วเดินไปทางด้านหลัง
จักรพรรดิอวี้ตี้เสด็จขึ้นบันไดไปทรงนั่งบนบัลลังก์มังกรสีเหลืองทอง แล้วเอียงองค์ทอดพระเนตรไปยังตำหนักบำรุงฤทัย: "ให้เข้าเฝ้า"
ประตูพระตำหนักบำรุงฤทัยเปิดออก คนจำนวนสองสามคนรีบเดินเข้าประตูมา สวมเสื้อคลุมสีดำอันวิจิตรงดงามของราชวงศ์ เข้าประตูมาแล้วก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วทันทีแล้วคุกเข่าลง
“ฝ่าบาท กระหม่อมผิดไปแล้ว ทรงละเว้นเซวียนไหวด้วยเถอะ กระหม่อมไม่ต้องการให้คนผมดำส่งคนผมขาวอีกแล้วพะย่ะค่ะฝ่าบาท!” อ๋องใหญ่น้ำตานองเต็มหน้า
อ๋องเจ็ดและอ๋องห้าก็อ้อนวอนด้วยเช่นกัน องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทอดพระเนตรผู้คนเบื้องล่าง: “ข้าได้ให้อ๋องตวนไปแล้วต้องทันการณ์เป็นแน่”
“ฝ่าบาท กระหม่อมขอบพระทัยในพระเมตตาพะย่ะค่ะ”
อ๋องใหญ่เช็ดน้ำตาทั้งที่คุกเข่าอยู่บนพื้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ