หนานกงเย่ทอดถอนใจอยู่ข้างกายของฉีเฟยอวิ๋น : “ข้าควรจะชื่นชมหรือควรจะเป็นห่วงดีล่ะ?”
“มีอะไรต้องเป็นห่วงละเจ้าคะ?” ฉีเฟยอวิ๋นไม่เห็นด้วย
“บัดนี้อวิ๋นอวิ๋นอยากได้อะไรก็ได้ อยากได้ลมก็ได้ อยากได้ฝนก็ย่อมได้ โชคชะตาก็ดีเพียงนั้น ข้าจะไม่เป็นห่วงได้อย่างไร?” หนานกงเย่กล่าวด้วยเสียงหยาบและทุ้มต่ำ
ฉีเฟยอวิ๋นยิ้ม : “เช่นนั้นท่านหากท่านไม่พอใจ ก็แยกทางกับหม่อมฉัน เช่นนั้นจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง”
“เหลวไหล ข้าไม่มีแยกทางเด็ดขาด”
“ท่านอ๋อง ท่านเป็นห่วงอะไรหรือเจ้าคะ ตรงกันข้ามควรจะมีความสุขเสียด้วยซ้ำที่มีพระชายาเช่นหม่อมฉัน หากไม่มีหม่อมฉันแล้ว ท่านก็คงจะแต่งพระชายารองเช่นนั้นเข้ามาเหมือนท่านอ๋องตวน ทั้งสองฝ่ายเกิดความสั่นคลอน จึงเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นวันนั้น”
“ข้าไม่แต่งพระชายารองเข้ามาถือว่าเป็นสิ่งที่ดีต่ออวิ๋นอวิ๋นไม่ใช่หรือ?”
“ท่านอ๋องก็ลองดูสิเจ้าคะ ดูว่าหากแต่งพระชายารองเข้ามา หม่อมฉันจะเป็นอย่างไร?” ฉีเฟยอวิ๋นมองไปทางหนานกงเย่ด้วยความไม่พอใจ ยิ่งมองก็ยิ่งไม่สบายใจ
หนานกงเย่รู้สึกไม่ดี จึงรีบกล่าวออกไป : “ข้าไม่หวงแหนพระชายารอง แต่หวงแหนอวิ๋นอวิ๋น”
“หึ! หม่อมฉันว่าท่านตัดใจไม่ได้หรอก คงรู้สึกปวดใจครั้นเห็นผู้อื่นแต่งพระชายารอง”
“ข้าไม่เป็น หยุดกล่าววาจาเหลวไหลได้แล้ว”
หนานกงเย่ดึงมือของฉีเฟยอวิ๋น แต่ไม่กล้ามองฉีเฟยอวิ๋น
ฉีเฟยอวิ๋นกลอกตาไปทางหนานกงเย่แวบหนึ่งด้วยแววตาหยิ่งผยอง และตามไปอย่างไม่แยแสนัก
ทั้งสองคนมาถึงจวนอ๋องใหญ่ ประตูด้านหน้าของจวนอ๋องใหญ่ล้วนประดับไปด้วยโคมไฟขาว มีเสียงร้องไห้เลือนรางดังมาจากด้านใน
คนที่เพิ่งสิ้นใจ คงจะยังไม่ถูกเก็บร่างสินะ
ฉีเฟยอวิ๋นหยุดมองเข้าไปด้านใน
หนานกงเย่เองก็หยุดเช่นกัน
“ท่านอ๋อง ยามที่ท่านฆ่าคนเคยลังเลบ้างหรือไม่เจ้าคะ?” ถึงอย่างไรก็เป็นครอบครัว
“ไม่มี ข้านึกถึงหน้าของอวี้ชินอ๋องจึงอ่อนข้อให้ไม่ได้ พวกเขาสังหารอวี้ชินอ๋องแต่ข้าไว้ชีวิตพวกเขา พวกเขาฆ่าปิดปากตระกูลของอวี้ชินอ๋อง ข้าจึงไว้ชีวิตพวกเขาไม่ได้
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปยังหนานกงเย่ด้วยความโกรธ จากนั้นก็ดึงเขาเดินไป
หลังจากเดินอ้อมจวนอ๋องใหญ่แล้วฉีเฟยอวิ๋นจึงเอ่ยถามขึ้นว่า : “ท่านอ๋อง เรื่องนี้เป็นเรื่องของจวนอ๋องใหญ่จริง ๆ หรือเจ้าคะ?”
หนานกงเย่ส่ายหน้า : “ไม่ใช่ อย่างมาสุดจวนอ๋องใหญ่ก็มีส่วนเกี่ยวข้อง สำหรับคนชักใยพวกเขาย่อมเป็นไม่ได้เด็ดขาด
เมื่อครั้งท่านอ๋องใหญ่ทรงวัยเยาว์ยังไม่มีเมืองเหล่านั้น เติบใหญ่เขาจึงไม่มีความทะเยอทะยานอะไร ดังนั้นจึงไม่ใช่จวนอ๋องใหญ่
อวี้ชินอ๋องเองคงทะเยอทะยานไม่ได้ หรงชินอ๋องมีความทะเยอทะยานมากกว่า แต่ความทะเยอทะยานของเขาไม่ได้อยู่ที่ราชสำนัก เขาแค่อยากติดตามใครผู้หนึ่ง ออกอุบายกลยุทธ์เท่านั้น
ครั้นนายท่านเกิดเรื่อง ในบรรดาพวกเขาจะต้องมีคนถกประเด็นแน่นอน เดิมทีคิดยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ช่วยเหลือนายท่าน ทำร้ายข้า
แต่พวกเขาคาดไม่ถึงว่าข้าจะย้อนกลับมาแว้งกัดพวกเขา
เสด็จอาใหญ่ปวดใจกับข้ามาโดยตลอด ท่านอ๋องตวนล้มป่วย เสด็จอาใหญ่จึงไม่พอพระทัยนัก แต่ท่านอ๋องตวนไม่เป็นอะไรนางจึงยังอดทนได้ ข้าดันเกิดปัญหาไปยั่วโมโหเสด็จอาใหญ่เข้า การสืบหาย่อมเกิดขึ้น
เสด็จอาใหญ่สืบหา จะต้องสืบหาคนที่ชักใยอยู่เบื้องหลัง
พวกเขาแค่ออยากให้คนมาเป็นตัวชูโรง
หนานกงเฮ่าฉือไม่น่าได้ อวี้ชินอ๋องจึงต้องรับไป”
“พวกเขาคิดเช่นนี้หรือ?”
หนานกงเย่ส่ายหน้า : “หากง่ายเช่นนี้คงไม่ใช่พวกเขา ข้ายังไม่ลืมตาดูโลกพวกเขาก็สมคบคิดกันแล้ว ข้าอายุไม่กี่ปี บุตรชายก็คลอดออกมา พวกเขายังไม่ปล่อยวาง หากจะปล่อยวางก็คงทำไม่ได้”
ฉีเฟยอวิ๋นเองก็รู้สึก จึงอดถามไม่ได้ : “ท่านอ๋องคิดว่าใครคือนายท่านหรือเจ้าคะ?”
“ข้าจะรู้ได้อย่างไร ข้าเห็นใครก็คล้ายคลึงไปเสียหมด” หนานกงเย่ไม่สบอารมณ์ ฉีเฟยอวิ๋นไม่อยากคุยกับเขาต่อ
เห็นผู้ใดก็คล้ายคลึงไปหมดเช่นนั้นหรือ?
แต่ไม่เห็นจะเหมือนอย่างที่เขาพูดเลย
ไม่พูด ก็แค่ไม่อยากยอมรับเท่านั้น
ทั้งสองคนเดินอ้อม กระทั่งมาถึงหน้าประตูของจวนเสนาบดี
ฉีเฟยอวิ๋นเอ่ยถาม : “จะเข้าไปหรือ?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ