ฮูหยินใหญ่ตัดสินใจแล้ว ลูกสะใภ้ที่อยู่ข้างกายทราบดีว่าแม่สามีของนางคุกเข่าไม่ได้ ด้วยสถานะอันสูงศักดิ์ ดังนั้นนางจึงเป็นฝ่ายคุกเข่าแทน
“พระชายาเย่ โปรดช่วยเราด้วย”
ฉีเฟยอวิ๋นชะงัก “พวกท่านกำลังทำอะไรอยู่ ยิ่งกว่านั้นพระชายารองอวิ๋นจะไปอยู่ที่วัดได้อย่างไร”
“ข้ารับรู้และขอบคุณในความหวังดีของพระชายาเย่ แต่ไม่มีวิธีใดจะดีไปกว่านี้แล้ว นี่เป็นวิธีเดียวที่จะปกป้องนางและปกป้องศักดิ์ศรีของท่านอ๋องตวน”
"..."
ฉีเฟยอวิ๋นกำลังจะพูดบางอย่าง แต่อวิ๋นหลัวฉวนวิ่งลงจากเตียงและหยิบกริชขึ้นมาเสียก่อน ฉีเฟยอวิ๋นตกใจหน้าซีด ร้องเรียกนาง “อย่าทำอะไรบ้าๆ นะ”
หนานกงเย่รีบถลันเข้าไปแต่ก็ไม่ทัน อวิ๋นหลัวฉวนกำลังจะแทงกริชลงไป
ขณะที่นางกำลังจะทำร้ายตัวเอง ประตูก็ถูกถีบจนเปิดออก “หยุดนะ”
อวิ๋นหลัวฉวนมองไปที่ประตูก่อนจะโยนกริชทิ้งด้วยความตกใจ
ทุกคนจ้องมองหนานกงเหยี่ยนที่เดินเข้ามา
แววตาของหนานกงเหยี่ยนลึกซึ้ง เขามองอวิ๋นหลัวฉวนและก้าวเข้าไปหา เมื่ออวิ๋นหลัวฉวนก้าวถอยหลังและคิดจะหนี เขาจึงตะโกน “หยุด”
อวิ๋นหลัวฉวนไม่กล้าเคลื่อนไหวอีกต่อไป นางยืนนิ่งอยู่กับที่และร้องไห้หนักมาก
หนานกงเหยี่ยนโน้มตัวไปอุ้มอวิ๋นหลัวฉวนขึ้นมาเมื่อเดินมาอยู่ตรงหน้านาง อวิ๋นหลัวฉวนตกใจกำเสื้อของอีกฝ่ายไว้แน่น หนานกงเหยี่ยนก้มหน้ามองนาง “เด็กในท้องเป็นลูกของข้า”
"..."
ทุกคนตกตะลึง มีเพียงอวิ๋นหลัวฉวนที่ร้องไห้อย่างทุกข์ทรมาน นางคิดว่าอ๋องตวนเพียงแค่ต้องการจะช่วยนางเท่านั้น
หนานกงเหยี่ยนอุ้มอวิ๋นหลัวฉวนไปที่เตียงก่อนจะวางนางลงเบาๆ จากนั้นจึงห่มผ้าห่มให้
หนานกงเหยี่ยนมองอวิ๋นหลัวฉวนอยู่ครู่หนึ่งและปฏิเสธที่จะนั่งลงข้างเตียงของนาง เขาหยิ่งในศักดิ์ศรีและมีท่าทีที่น่าเกรงขาม
“ฮูหยินใหญ่ เอ้อร์เหนียงเชิญนั่งลงเถิด”
สะใภ้แห่งจวนกั๋วกงที่นั่งอยู่บนพื้นลุกขึ้นยืนและเข้ามาประคองฮูหยินใหญ่ที่ตัวแข็งทื่อราวกับท่อนไม้ไปนั่ง ต่างก็ได้แต่คิดว่าเกิดอะไรขึ้น
ฉีเฟยอวิ๋นก็ตกใจจนหนานกงเย่ต้องมาประคองนางให้นั่งลงและนั่งมองอ๋องตวนด้วยกัน
จากนั้นหนานกงเหยี่ยนจึงกล่าวว่า “ฉวนเอ๋อร์จำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นในคืนนั้น แต่ข้าจำได้ เนื่องจากท่านทั้งหลายเข้าใจฉวนเอ๋อร์ผิด ข้าจึงมาล้างมลทินให้นาง เพื่อไม่ให้ใครนำเรื่องนี้ไปพูดเสียๆ หายๆ
ข้าไม่คิดว่าจะมีใครมาทำร้ายฉวนเอ๋อร์”
ฉีเฟยอวิ๋นนั่งดูเงียบๆ ไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่ว่าหากนางตัดเรื่องอื่นๆ ทิ้งไป คำพูดนี้ของอ๋องตวนก็ถือว่ามีประโยชน์มากทีเดียว
เพียงแต่ว่าเขายังมีจวินฉูฉู่อีกคน เมื่อพูดเช่นนี้ในตอนนี้ เขาจึงดูเป็นคนไม่ได้เรื่องอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
หากตัดสินจากคำจำกัดความของฉีเฟยอวิ๋น ไม่ว่าอย่างไรจวินฉูฉู่ก็ไม่คู่ควร และอ๋องตวนก็เก็บซ่อนความรักครั้งใหม่ไว้ไม่ได้
ท้ายที่สุดที่เคยมอบความรักให้อย่างแรงกล้าในตอนแรก ตอนนี้กลับปันใจไปหาผู้อื่นเสียแล้ว
ซึ่งนี่ไม่เหมือนกับภาพลักษณ์ของชายผู้ลุ่มหลงในความรักในความคิดของฉีเฟยอวิ๋นสักเท่าไหร่
ดังนั้นจะจำกัดความว่าเขาเป็นคนไม่ได้เรื่องก็คงไม่ผิด
แม้ว่าอวิ๋นหลัวฉวนจะมีสภาพที่น่าเวทนา แต่ในยุคโบราณเช่นนี้ก็ไม่ได้ถือว่านางไร้ความผิดเสียทีเดียว
“วันนั้นฉวนเอ๋อร์และตงเอ๋อร์ออกไปร่วมกินอาหารที่จวนอ๋องเย่ หลังจากกินเสร็จก็เห็นว่าฝนกำลังจะตก ตงเอ๋อร์จึงรีบกลับไป บอกว่าจะไปเอาร่ม นางจึงออกมาก่อน ตอนที่ฉวนเอ๋อร์กลับมาถึงหน้าจวนฝนก็ตกลงมาแล้ว นางจึงต้องหาที่หลบฝน
ข้ากำลังดื่มสุราอยู่ที่นั่น นางจึงมาร่วมดื่มกับข้า
ฉวนเอ๋อร์เมามาก ข้าเองก็เริ่มเมาเล็กน้อยจึงตั้งใจจะกลับจวน ไม่คิดว่าฝนจะตกหนักราวกับฟ้ารั่วจนไปไหนไม่ได้
ฉวนเอ๋อร์กับข้าอยู่ด้วยกัน และฝนก็ตกหนักจนทำให้พวกเราเปียกไปทั้งตัว
ข้า... ข้าเมาจนเผลอตัวไปชั่วขณะ...”
อ๋องตวนมองใบหน้าที่ซีดเซียวของอวิ๋นหลัวฉวน “ตอนแรกข้าต้องการจะบอกเจ้า แต่ไม่รู้จะพูดอย่างไร หลังจากวันนั้นเจ้าก็กลับไปที่จวนกั๋วกงเพราะเรื่องของตงเอ๋อร์ แล้วข้าก็ทำร้ายจงชินอ๋องอีกจนเจ้าโกรธข้า ข้าจึงไม่ทันได้บอกเจ้า”
อวิ๋นหลัวฉวนสะอื้นไห้ “เป็นท่านจริงๆ เช่นนั้นหรือ”
“คิดว่าข้าล้อเล่นอยู่หรือ ข้าคิดเพียงว่า แค่ครั้งเดียว... มัน...”
อวิ๋นหลัวฉวนรู้สึกอับอายเล็กน้อย จึงหันไปอีกทางและปิดใบหน้าของตนไว้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ