องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ นิยาย บท 266

ครั้นหนานกงเย่ไปพบป้าซี ป้าซีจึงคุกเข่าแสดงความเคารพทันที : “เมื่อครั้นพระชายาตวนเสด็จมาถึงบ่าวปรนนิบัติอยู่ข้างกายตลอด แต่ขนมกุ้ยฮวานั้นบ่าวไม่ได้ลองชิม เพราะวันนั้นพระชายาตวนทรงกินขนมกุ้ยฮวาไปหนึ่งชิ้น ฮองเฮาทรงตรัสว่าเป็นของตระกูล ไม่มีอะไรต้องสงสัย บ่าวจึงไม่ได้ชิมก่อนพ่ะย่ะค่ะ”

ป้าซีกล่าวจบหนานกงเย่ก็ยืดตัวขึ้นและเดินจากไป เป็นเวลาหนึ่งวันเต็ม

ท่านอ๋องตวนเดินไปเดินมาอยู่ภายในตำหนักหวาหยาง เขาอดเคร่งเครียดไม่ได้ บอกให้จับก็จับในทันที ท่านอ๋องเย่ไม่ได้เป็นสหายที่ดีกับท่านอ๋องตวน เขาเป็นกังวลว่าท่านอ๋องเย่จะเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมจนเบียดบังประโยชน์ของตน

พระมเหสีหวากลับดื่มน้ำชาอย่างเงียบ ๆ

“เสด็จแม่ ท่านไม่เชื่อจวินฉูฉู่จริง ๆ หรือพ่ะย่ะค่ะ?” ท่านอ๋องตวนเป็นห่วงจวินฉูฉู่มาก จึงอดถามไม่ได้

พระมเหสีหวาจึงกล่าวขึ้นว่า : “เจ้าใจร้อนเกินไป หากใช่ก็คือใช่ หากไม่ใช่ก็คือไม่ใช่ ไม่มีอะไรจะต้องเป็นกังวล”

“เสด็จแม่ มันโจ่งแจ้งมากถึงเพียงนั้น หากฉูฉู่คิดทำร้ายผู้อื่นจริง ไม่คุ้มเสียที่นางจะลงมือทำเรื่องนี้ด้วยตนเอง” ท่านอ๋องตวนโกรธเคืองมาก ฝีมือผู้ใดกัน บังอาจดึงจวนอ๋องตวนไปมีส่วนร่วม

พระมเหสีหวามองไปยังท่านอ๋องตวนด้วยความไม่สบายใจ : “เหยี่ยนเอ๋อร์ ในเมื่อเจ้ารู้ว่านี่คือการใส่ร้าย เจ้าจะกลัวอะไรอีก?”

“เสด็จแม่ มีบางเรื่องที่ข้าไม่แน่ใจ”

“เช่นนั้นก็ไม่เห็นต้องสนใจมากเพียงนั้น ผู้ใดเราจะเรียกตัวเจ้า ท่านไม่ได้มีฐานะต้อยต่ำเสียหย่อย ท่านอ๋องเย่มีอำนาจคุมทหาร เขาวางมาดหยิ่งผยองถึงเพียงนั้น เจ้าก็เห็นนี่....เขาคิดจะทำอะไร ผู้ใดเล่าจะยังยั้งได้?”

ท่านอ๋องตวนไม่อยากเอ่ยเรื่องนี้ จึงหยุดพูดเสียอย่างนั้น

พระมเหสีหวาเองก็เหนื่อยหน่าย และมองไปยังบุตรชายด้วยความไม่สบอารมณ์ เอ่ยเรื่องนี้ก็หลีกเลี่ยงไม่ยอมพูด นางอ่าให้กำเนิดบุตรชายที่ไม่เอาถ่านเช่นนี้ได้อย่างไร ไม่เอ่ยก็ช่าง

พระมเหสีหวาลุกขึ้นและกลับตำหนัก

หนานกงเย่ออกจากวังกลับมาถึงจวนในช่วงค่ำ ระหว่างที่คนในวังกำลังวิตกกังวล ซู่จิ่นในพระตำหนักสุ่ยฮัวก็ถูกคุมตัว ไม่นานคนอื่น ๆ ในพระตำหนักสุ่ยฮัวก็ถูกจับหมดสิ้น

พระตำหนักสุ่ยฮัวของจวินฉูฉู่เหลือเพียงจวินฉูฉู่ผู้เดียวที่จัดการไม่ได้ หนานกงเย่จึงจัดคนอื่น ๆ ไปดูแล

แต่ไม่นานภายใต้การโบยหนักหน่วงของหนานกงเย่ คนในพระตำหนักสุ่ยฮัวก็ให้การสารภาพว่า เคยเห็นซู่จิ่นทำอะไรบางอย่างในอาหารของพระสนมเซียว

ซู่จิ่นถูกลากตัวออกไปด้านนอก หนานกงเย่ในชุดคลุมยาวสีดำ มีคนยืนอยู่ด้านหลัง รอบล้อมด้วยเปลวไฟที่สว่างไสว

ฉีเฟยอวิ๋นเห็นซู่จิ่นคุกเข่าลงบนพื้นจากที่ไกล ๆ ซึ่งเจ้าตัวได้หายใจรวยรินแล้ว

“ข้าจะถามเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย ผู้ใดเป็นคนชักนำเจ้าให้ทำเรื่องนี้?” สีหน้าของหนานกงเย่เย็นยะเยือก

ซู่จิ่นถูกโบยอย่างน่าเวทนา นางนั่งตัวสั่นงันงกอยู่บนพื้น แม้จะตายก็ไม่ยอมสารภาพว่าผู้ใดมือมืดอยู่เบื้องหลัง

“บ่าวไม่มี บ่าวไม่มีอะไรจะพูดเจ้าค่ะ” ซู่จิ่นไม่ยอมบอก หนานกงเย่เองก็ใช่ว่าจะหมดปัญญา เขาเรียกทหารให้นำตัวเด็กวัยสิบขวบผู้หนึ่งมาตรงหน้าของซู่จิ่น

“ท่านพี่” ทันทีที่เด็กผู้นั้นเห็นซู่จิ่นก็ร้องไห้โฮออกมา ซู่จิ่นตื่นตัวอย่างฉับพลัน ครั้นเห็นเด็กน้อยซู่จิ่นจึงตะเกียกตะกายลุกขึ้น พลางตะโกนด้วยเสียงสะอื้นว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือของนาง ไม่เกี่ยวกับเด็ก

หนานกงเย่คิดไว้แล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้ จึงรุดขึ้นหน้าหนึ่งก้าวและดึงเด็กมาไว้ด้านข้าง : “เจ้าไม่พูดก็ได้ ข้าจะให้เด็กมีชีวิตรอด แต่เขาจะมีชีวิตอยู่ได้แค่ในวังเท่านั้น”

ดวงตาของซู่จิ่นเบิกกว้าง นางเข้าใจความหมายของหนานกงเย่

ภายในวังหลวงนี้ นอกจากฝ่าบาทแล้ว บุรุษล้วนเป็นขันทีทั้งสิ้น

ซู่จิ่นร่ำไห้ : “บ่าวพูดแล้ว บ่าวพูดแล้วเจ้าค่ะ”

ฉีเฟยอวิ๋นตื่นตกใจอย่างฉับพลัน นางจะพูดแล้วใช่หรือไม่?

ซู่จิ่นตะเกียกตะกายลุกขึ้น : “จวินฉูฉู่ต้องการให้บ่าวทำเช่นนั้น นางบอกกับบ่าวว่า มีเพียงแค่ต้องทำให้ทายาทของฝ่าบาทหายไปจากโลกนี้ นางถึงจะมีโอกาสเป็นฮองเฮา นางยังอ่อนเยาว์ย่อมมีทายาทได้ ดังนั้นจึงได้ออกอุบายเช่นนี้ขึ้น”

ฉีเฟยอวิ๋นหมุนตัวเดินจากไป ดูท่าซู่จิ่นคงจะตั้งมั่นแน่วแน่แล้ว

น่าเสียดายเด็กคนนั้น และก็ประหลาดใจ เหตุใดคนผู้นั้นถึงสั่งให้ซู่จิ่นลงมือทำเรื่องนี้

ซู่จิ่นเป็นคนของตระกูลจวิน การติดตามเข้าวังมาย่อมต้องผ่านการคัดเลือกอย่างละเอียด เมื่อเกิดเรื่องนี้ ตระกูลจวินย่อมมีส่วนเกี่ยวข้อง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ