ระหว่างทาง ผู้ที่ร่วมเดินทางพร้อมกันกับนางนั้นเป็นเฉินอวิ๋นเจี๋ย
ครั้งนี้ทั้งสองคนไม่มีผู้ใดกล่าวสิ่งใดเลย ฉีเฟยอวิ๋นคิดว่าบางทีอาจเป็นเพราะทั้งสองคนมีความจริงที่อยู่ในใจเฉกเช่นเดียวกัน
มาถึงยังหน้าประตูตำหนักที่ป้าซีถูกไต่สวน ฉีเฟยอวิ๋นเพียงแค่มองเข้าไปด้านในแต่นางมิได้เข้าไป
ผู้ที่นั่งอยู่ด้านในคือหนานกงเย่ ในลานนี้คือตำหนักเย็นเป็นที่ไต่สวนชั่วคราวที่หนานกงเย่สร้างขึ้น ตรงพื้นนั้นมีผู้คนจำนวนหนึ่งคุกเข้าอยู่ซึ่งถูกโบยจนช้ำไปทั้งตัว ยังมีกองเลือดเต็มอยู่บนพื้น ภาพนั้นช่างนองเลือดยิ่งนัก
ซู่จิ่นในเวลานี้ยืนโง่ซะแล้ว เด็กคนนั้นก็ตกใจจนเป็นบ้ายืนตัวสั่นอยู่ตรงนั้น อาจเพราะขณะที่โบยผู้คนนั้นได้ทำให้เด็กตกใจกลัว
ฉีเฟยอวิ๋นบางครั้งก็รู้สึกว่าหนานกงเย่ไม่ใช่คนแต่เป็นปีศาจ แต่ขณะที่ปกป้องครอบครัวนั้นผู้ใดบ้างที่จะไม่เป็นดังปีศาจ?
สำหรับหนานกงเย่แล้ว เด็กสองคนที่อยู่ในท้องของทั้งสองตำหนักเป็นหลานชายของเขาซึ่งก็ไม่อยู่ซะแล้ว เช่นนี้เป็นสิ่งที่เขาไม่สามารถยอมรับได้
เขาไม่ได้บ้าเพียงแค่โมโห นี่ถือว่าสงบนิ่งมากแล้ว
ป้าซีถูกนำตัวไปคุกเข่ายังเบื้องหน้า ใบหน้าอันเคร่งขรึมของหนานกงเย่ซึ่งมีแต่ความเย็นชาถามขึ้นว่า: “ป้าซี เจ้าได้พบซู่จิ่นก่อนที่ทั้งสองตำหนักจะเกิดเรื่องเจ้าได้ฝากฝังสิ่งใดกับซู่จิ่นไว้หรือไม่?”
ป้าซีเหลือบมองไปยังซู่จิ่นแล้วกล่าวว่า: “เคยได้พบจริง”
ซู่จิ่นนั่งลงกับพื้น นางไม่ได้รับสารภาพเพียงแค่มีคนบอกว่านางได้ไปยังตำหนักเฟิ่งอี๋
นางคลานไปพร้อมกับร้องไห้แล้วคว้าแขนของป้าซีจากนั้นก็ส่ายหน้า: “ป้าซี ข้าน้อยไม่ได้พูดสิ่งใดเลย ข้าน้อยไม่ได้พูดสิ่งใดเลยนะ?”
ใบหน้าป้าซีไร้ความรู้สึก ปัดมือของซู่จิ่นออกแล้วถอนหายใจครั้งหนึ่ง: “ไม่ว่าจะพูดหรือไม่ก็ตาม สิ่งที่ข้าพูดก็คือความจริง”
ซู่จิ่นล้มนั่งลงอย่างโง่เขลาแล้วมองไปยังเด็กที่ตกใจจนเป็นบ้านั้น
นางตายไปก็ไม่เป็นไรแต่คนในครอบครัวของนางจะทำเช่นไร?
ป้าซียอมรับผิดเรื่องทั้งหมดไว้แต่เพียงผู้เดียว คบไฟอันสว่างไสวทำให้ใบหน้าของหนานกงเย่ดูหล่อเหลาเป็นพิเศษ แต่ก็ยิ่งทำให้ดูโหดเหี้ยมมากยิ่งขึ้น
“ป้าซีเหตุใดจึงต้องทำเช่นนี้?” น้ำเสียงอันเย็นชาของหนานกงเย่ไม่มีความเวทนาเลยแม้แต่น้อย
ป้าซีกล่าวว่า: “ตั้งแต่วันที่พระสนมเซียวเข้าวังมา ข้าก็สังเกตในตัวพระนางแล้ว พระนางอ่อนเยาว์งดงามและเยาว์วัยกว่าฮองเฮา
เมื่อก่อนนั้นไม่เคยได้สังเกต แต่หลังจากนั้นฝ่าบาทได้ประทานความโปรดปรานให้แก่พระนางแล้วพระนางก็ทรงตั้งครรภ์ ถึงแม้ว่าฮองเฮาก็ทรงตั้งพระครรภ์ แต่ฝ่าบาทเพื่อพระนางแล้วมักจะเพิกเฉยต่อฮองเฮา ข้าปรนนิบัติอยู่ข้างพระวรกายของฮองเฮามานานหลายปี มองเห็นอยู่ในตาทว่าเจ็บปวดอยู่ในใจ
ไม่พึงพอใจเป็นแน่ จึงคิดหาโอกาสที่จะทำร้ายพระนางอยู่แล้ว
”คิดไม่ถึงว่าอ๋องตวนและพระชายาตวนจะเข้าวังมา จึงสบโอกาสนี้แล้วเข้าหาข่มขู่ซู่จิ่น"
ซู่จิ่นค่อยๆมองไปพร้อมด้วยน้ำตาอย่างพร่ามัว นางไม่รู้ว่าจะกล่าวสิ่งใด
ฉีเฟยอวิ๋นมองลงเบื้องล่าง ข่มขู่?
ในที่นี้หมายความว่าอย่างไร?
หนานกงเย่สอบถาม: "เช่นนั้นเจ้าข่มขู่ซู่จิ่นอย่างไร?"
“ก่อนที่ซู่จินจะเข้าวังน้้นนางเป็นสาวใช้ของตระกูลจวิน ส่วนพระสนมเซียวเคยทรงถูกลักพาตัวไปตอนอายุสิบขวบ เป็นน้องชายของฮองเฮาแม่ทัพน้อยที่ได้ช่วยชีวิตพวกนางนายบ่าวเอาไว้
ข้าไม่ได้รู้เรื่องอะไรมากนัก แต่มีครั้งหนึ่งได้เห็นแม่ทัพน้อยในวังแล้วเห็นซู่จิ่นมองแม่ทัพน้อยอย่างหลงใหลข้าถึงได้รู้เรื่องรู้ราวแล้ว
คิดจะจัดการเรื่องให้กับฮองเฮา จึงต้องซื้อตัวซู่จิ่นไว้ซะก่อน
ข้าบอกกับซู่จิ่นว่าขอแค่นางเชื่อฟัง ข้าก็จะหาวิธีให้นางได้อยู่กับแม่ทัพน้อย ถึงเป็นแค่นางสนมก็ดีนางก็เต็มใจ นับประสาอะไรกับสามารถเป็นอนุภรรยาได้
แต่หากนางไม่เห็นด้วย ข้าจะจับคนในครอบครัวของนาง แล้วกระจายคำพูดออกไป เช่นนั้นนางก็ต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย
เช่นนี้ซู่จิ่นจึงได้เห็นด้วย"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ