ไห่กงกงส่งพวกเขาตามหลัง ระหว่างทางฉีเฟยอวิ๋นจึงพูดออกมาว่า : “ป้าซีถูกโยนไปในหลุมฝังศพจริงหรือเพคะ?”
“ในวังจะมีหลุมฝังศพได้อย่างไรกัน?” หนานกงเย่รู้ว่าฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้โกรธเคืองขนาดนั้นแล้ว และอารมณ์ของนางก็ดีขึ้น ดังนั้นจึงตอบคำถามอย่างสุขุมใจเย็น
“แล้วท่านบอกว่าถูกส่งไปที่หลุมฝังศพแล้ว แถมยังให้อาหารสุนัขแล้วอีกด้วย”
“จริงอยู่ที่ข้าพูดเช่นนั้น ทำหรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ทว่ามีขันทีสองสามนายโยนศพของป้าซีออกไปจริงๆ เพียงแต่ว่าข้าให้อาอวี่ตามไปดู อาอวี่บอกว่ามิได้โยนไปไกลนัก เพราะถูกโยนลงเขาไม่ไกลนัก อาอวี่จึงได้นำกลับมาด้วย”
ฉีเฟยอวิ๋นหยุดฝีเท้าลง ถามต่อไปว่า : “แล้วหลังจากนั้นล่ะเพคะ?”
“หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรแล้วล่ะ”
ฉีเฟยอวิ๋นไม่เชื่อ : “ถ้าเช่นนั้นศพล่ะเพคะ?”
หนานกงเย่นำพาฉีเฟยอวิ๋นเดินจากไป ทั้งสองนั่งรถม้าออกเมืองไปไกลสิบลี้ได้ จากนั้นหนานกงเย่จึงลงจากรถม้าแล้วอุ้มฉีเฟยอวิ๋นขึ้น
“อาอวี่ เจ้าคอยอยู่ที่นี่ประเดี๋ยวนะ”
“พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง”
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกเพียงร่างกายของนางกำลังลอยอยู่ ไม่รู้สึกผิดปกติแต่อย่างไร กลิ่นหอมจากดอกไม้ต้นไม้รอบๆยังคงลอยนวลอยู่ แต่ทว่านางมิกล้ามองเท่าไรนัก ท้องฟ้าตรงหน้าที่กำลังหมุนเวียนอยู่ หากมองต่อไปเช่นนี้ คงได้อาเจียนออกมาเป็นแน่
นางรีบเอาหน้ามุดเข้าไปในอ้อมกอดของหนานกงเย่ ฉีเฟยอวิ๋นไปถึงครึ่งหุบเขาพร้อมกับหนานกงเย่
รอจนหนานกงเย่หยุดฝีเท้าลง ฉีเฟยอวิ๋นแน่ใจแล้วว่าเขาหยุดนิ่งและยืนมั่นคงดีแล้ว ถึงได้หันไปมองรอบๆ หนานกงเย่รู้ดีว่านางจะรู้สึกไม่สบายเท่าไรนัก เพราะความเร็วเช่นนี้เร็วเกินไปนัก
อุ้มไปครู่หนึ่ง เห็นว่าสีหน้าของนางยังคงดีอยู่ จึงได้ปล่อยนางลง
ฉีเฟยอวิ๋นถูกกอดไว้ในอ้อมกอดของหนานกงเย่ ในที่สุดก็ได้เห็นบรรยากาศโดยรอบอย่างชัดเจน ที่นี่เป็นมุมหนึ่งของหุบเขา ซึ่งอยู่บริเวณครึ่งหุบเขานี้
ตรงข้ามเป็นหลุมศพเดียวดาย หน้าหลุมมีก้อนหินก้อนหนึ่งวางอยู่ บนก้อนหินไม่มีตัวอักษรสลักอยู่ ว่างเปล่าไม่มีอะไรเลย
ฉีเฟยอวิ๋นออกจากอ้อมกอดของหนานกงเย่ เดินไปดูหินก้อนนั้น และถามว่า : “เป็นหลุมศพของป้าซีหรือเพคะ?”
“อืม” หนานกงเย่รู้ว่านางอยากเห็น จึงได้เสี่ยงขึ้นมาหุบเขาเช่นนี้
หากมิใช่ว่าที่ผ่านมาพลังของเขาเพิ่มพูนมากขึ้น มิเช่นนั้นอุ้มนางขึ้นหุบเขาที่ระยะทางไกลเช่นนี้คงลำบากมิน้อย
ฉีเฟยอวิ๋นมองหนานกงเย่ จากนั้นก็ไปดูป้ายศิลาหน้าหลุมศพ
“ไม่มีอักษรสลักไว้เช่นกันเพคะ ทำให้หม่อมฉันนึกถึงป้ายไร้อักษรขององค์จักรพรรดิอู๋เพคะ หรือป้ายไร้อักษรนั้นมิได้เก็บไว้ให้ลูกหลานไปสลัก แต่เพราะว่ามีเรื่องราวที่มิอาจพูดถึงได้ จึงมิสามารถสลักลงไปได้ เพราะเช่นนี้จึงมิถูกสลักอักษรไว้”
“องค์จักรพรรดิอู๋งั้นรึ? ป้ายไร้อักษรงั้นรึ?”
หนานกงเย่มีความสนใจในเรื่องราวของโลกอนาคตนัก ไม่มีอันใดที่เขาไม่อยากรู้เลย
หนังสือประวัติศาสตร์เขาก็อ่านม่ไม่น้อย แต่ทว่าสิ่งที่ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวออกมาทุกครั้ง เขามักจะอยากรู้ไปหมดทุกเรื่อง
ฉีเฟยอวิ๋นมองหนานกงเย่ : “ท่านคงไม่ได้คิดเรื่องไม่ควรคิดใช่หรือไม่เพคะ?”
“ข้าคิดอันใดอยู่ อวิ๋นอวิ๋นเองต้องรู้อยู่แล้ว ยากนักที่จะได้มีเวลาพักผ่อนในโลกที่วุ่นวายเช่นนี้ เรากลับไปคุยกันดีกว่า”
หนานกงเย่คิดจะพาฉีเฟยอวิ๋นกลับไป แต่ฉีเฟยอวิ๋นผลักเขาออกและกล่าวว่า : “หม่อมฉันยังไม่อภัยให้ท่านเพคะ มิต้องมาหลอกลวงหม่อมฉันเลยเพคะ ต้องดูพฤติกรรมของท่านก่อน”
“เช่นนั้นข้าจะทำตัวดีเป็นแน่”
หนานกงเย่พูดอะไรออกไปตอนนี้ ฉีเฟยอวิ๋นล้วนรู้สึกไร้ประโยชน์ เพราะความคิดของนางอยู่บนป้าซีทั้งหมด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ