ท่านอ๋องหกต้องการด่าว่าฉีเฟยอวิ๋น แต่สุดท้ายก็ข่มกลั้นเอาไว้
ใบหน้าชรานั้นบึ้งตึงเหมือนคนกินมะระขมก็ไม่ปานตอนที่จากไป ส่วนฉีเฟยอวิ๋นกลับทำตัวสบายๆ
หลังจากไล่อ๋องหกไปได้แล้วฉีเฟยอวิ๋นจึงออกไป สั่งให้ในห้องครัวจัดเตรียมอาหาร จากนั้นจึงไปที่หน้าประตูจวนอ๋องเซี่ยวจวิ้นกับอาอวี่
หนานกงเย่อยู่ที่นั่นอย่างที่คิด
ทว่าเขาไม่มาจัดการเรื่องของจวนอ๋องเซี่ยวจวิ้น แต่กำลังรอฉีเฟยอวิ๋นอยู่
ฉีเฟยอวิ๋นแหวกม่านบนรถม้าและเรียกเขา “ท่านอ๋อง”
หนานกงเย่เงยหน้าขึ้นและเดินมาที่รถม้า เขากระโจนขึ้นไปในรถและนั่งลงตรงข้ามฉีเฟยอวิ๋น ซึ่งในรถม้าไม่มีไป๋ซู่ซู่อย่างที่คิด
การจัดการคดีวันนี้ไป๋ซู่ซู่ไม่จำเป็นต้องมาด้วยและนางก็ไม่ได้พามา
ฉีเฟยอวิ๋นนำกล่องอาหารที่วางอยู่ด้านหน้าส่งให้หนานกงเย่ “วันนี้ออกมาตั้งแต่เช้า ต้องหิวแน่ๆ ท่านอ๋องกินก่อนสิเพคะ”
หนานกงเย่เปิดกล่องข้าว เมื่อเห็นว่าในนั้นมีของสองสามอย่างที่เขาชอบกินเป็นประจำก็อดรู้สึกอิ่มเอมใจไม่ได้
เขามองฉีเฟยอวิ๋นด้วยแววตาที่ลึกซึ้งและกินอย่างหยุดปากไม่ได้ “ข้าคิดว่าอวิ๋นอวิ๋นไม่รู้เสียอีก”
“รู้หรือไม่รู้แล้วเป็นอย่างไรเพคะ ของกินของใช้มีเพียงไม่กี่อย่าง หม่อมฉันจะไม่เห็นเลยหรือเพคะว่าทุกวันท่านกินมากหรือกินน้อยอย่างไร”
ฉีเฟยอวิ๋นมองหนานกงเย่อย่างกระเง้ากระงอด นางไม่เอ่ยอะไรอีกและใคร่ครวญเรื่องที่จะไปจวนตระกูลไป๋
เมื่อหนานกงเย่กินอาหารเสร็จ รถม้าก็มาถึงจวนตระกูลไป๋พอดี
ทั้งสองคนลงรถจากรถม้า ฉีเฟยอวิ๋นเงยหน้ามองคำว่า ‘จวนตระกูลไป๋’ ที่อยู่เหนือประตู
คิดว่าตระกูลไป๋ก็ดูเหมือนครอบครัวธรรมดาๆ แม้ว่าจะเป็นตระกูลหมอเทวดา แต่เขาก็ไม่กล้าคิดจะทำตัวลำพองเลยแม้แต่น้อย แม้แต่ลานบ้านก็ดูธรรมดามาก
น่าสลดใจนัก!
ต้องมาพบเจอกับเรื่องนี้ ช่างไร้มโนธรรมยิ่งนัก!
มีคนคุมอยู่ที่หน้าประตู ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบมองปู้เหวิน ไม่คิดว่าจะเป็นปู้เหวินที่คุมอยู่ที่นี่
เวลานี้หนานกงเย่ยืนอยู่ข้างกายฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นมองเขา “เชิญท่านอ๋องเพคะ”
หนานกงเย่ชอบฟังคำคำนี้มาก เขากระตุกยิ้มมุมปากและก้าวเข้าไปข้างใน พร้อมกันนั้นก็จูงมือฉีเฟยอวิ๋นเข้าไปด้วยกัน
ณ เวลานี้ตระกูลไป๋กำลังตกอยู่ในความหวาดผวา ไม่มีใครบอกพวกเขาว่าเกิดอะไรขึ้นและบอกเพียงแต่ว่าต้องตรวจสอบเรื่องต่างๆ ภายในลานบ้าน ลานที่ว่าคือลานด้านหลังเรือน คนในตระกูลไป๋คิดถึงแต่ไป๋ซู่ซู่ เพราะไป๋ซู่ซู่ถูกพาตัวไปเมื่อไม่กี่วันก่อน
ทว่ามีเพียงแค่ไป๋ซู่ซู่เท่านั้นที่ทำให้องค์จักรพรรดิตื่นตระหนก นี่มันเป็นอะไรที่เข้าใจยากพอสมควร
แต่มีข่าวลือว่าพระชายาเย่ชอบเข้ามายุ่งวุ่นวายเรื่องของคนอื่น เป็นหัวหน้าภูตผีปีศาจ ใครเลยจะรู้ว่านางทำอะไรได้บ้าง
แต่คนในตระกูลไป๋รู้สึกโชคร้ายมากที่อยู่ๆ ก็ถูกควบคุมไว้โดยไม่มีเหตุผล
เวลานี้คนในตระกูลไป๋ทั้งตระกูลกำลังคุกเข่าอยู่ที่ลานบ้าน เมื่อฉีเฟยอวิ๋นเข้าไปข้างในกับหนานกงเย่ คนในตระกูลไป๋ก็เข้ามาคารวะทันที
“ปู้เหวิน”
ฉีเฟยอวิ๋นไม่จำเป็นต้องพูดอะไร หนานกงเย่ก็รับหน้าที่สั่งการเรียบร้อย ก่อนอื่นเขาให้คนที่ค่อนข้างมีอายุเข้าไปไต่สวนในสถานที่สอบปากคำก่อน แบ่งช่วงไต่สวนแยกกับผู้ที่ยังอายุน้อย
ใช้เวลาไม่นาน คนในตระกูลไป๋ก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในลานทั้งหมดให้ฟัง พร้อมกันนั้นก็เล่าเรื่องของไป๋ซู่ซู่ด้วย ส่วนเรื่องคนตาบอดนั้นไม่มีทางตรวจสอบได้เลย
เพราะไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ปู้เหวินจึงกลับมารายงานว่าตรวจสอบไม่พบอะไร
ฉีเฟยอวิ๋นลุกจากเก้าอี้และตามหนานกงเย่ไปตรวจสอบเรื่องนี้ด้วยตนเอง
แต่หนานกงเย่ช่วยลดภาระให้ฉีเฟยอวิ๋นได้มาก นางแทบไม่ต้องพูดอะไรเลยและปล่อยให้หนานกงเย่ทำทุกอย่าง
หนานกงเย่เดินไปที่ลานหลังเรือนตระกูลไป๋ มีผู้หญิงในตระกูลบางส่วนคุกเข่าอยู่ที่นี่ ผู้ชายทั้งหมดถูกควบคุมตัวอยู่ข้างๆ โดยที่สมาชิกส่วนใหญ่ของตระกูลเป็นผู้หญิง
หนึ่งในนั้นมีฮูหยินรองรวมอยู่ด้วย นางสวมอาภรณ์สีแดงตัวใหญ่ดูมีฐานะและบนศีรษะก็มีเครื่องประดับที่ทำด้วยทองคำเยอะที่สุด สำหรับคนส่วนใหญ่ เครื่องประดับทองคำคือสิ่งที่ใช้บ่งบอกฐานะ นอกจากนี้รอบๆ ตัวนางยังมีสตรีที่มีหน้าตาพื้นๆ คุกเข่าอยู่ด้วยหลายต่อหลายคน ดังนั้นนางจึงเป็นฮูหยินรองอย่างไม่ต้องสงสัย
หนานกงเย่เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าฮูหยินรอง ถามนางด้วยน้ำเสียงปกติว่า “เจ้าเป็นใคร”
“ทูลอ๋องเย่ ข้าน้อยคือฮูหยินรอง นามว่าซุยเพคะ” ฮูหยินรองตกใจจนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว นางใช้ชีวิตสุขสบายจนคุ้นชิน แต่ตอนนี้ต้องมาคุกเข่าทั้งวันทั้งคืนจนนางแทบจะตายอยู่รอมร่อ ยิ่งเมื่อโดนลากออกไปสอบสวนชีวิตก็ยิ่งลำบาก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ