ฉีเฟยอวิ๋นคิดอยู่ครู่หนึ่ง: “กล่าวเช่นนี้ ในเมืองหลวงยังมีคนของตระกูลเฉินอยู่อีกหรือ?”
"มีสิ"
"โอ้ เหตุใดท่านถึงมายังเมืองหลวง" ฉีเฟยอวิ๋นถาม
หญิงชรากล่าวว่า: "ข้ามาที่เมืองหลวงเพราะข้าเป็นเช่นนี้ไม่เป็นไร แต่นายท่านถูกปรักปรำจนตาย ข้าจะองทุกข์ขอความเป็นธรรมให้นายท่าน"
ฉีเฟยอวิ๋นขมวดคิ้ว “มิน่าหล่ะ”
หญิงชราสองคนเริ่มพูดคุยกันและหลังจากรอเป็นเวลานานกว่าหนึ่งชั่วยามก็มีคนเข้ามาจากด้านนอกลานเรือน ฉีเฟยอวิ๋นมองไปทางหน้าประตู เพื่อเป็นการป้องกันไว้ก่อนในมือนางมีเข็มเงินอยู่สองสามเล่ม
ประตูเปิดออกแล้วมีคนผู้หนึ่งก้าวเข้าประตูมา ฉีเฟยอวิ๋นเกือบจะพุ่งเข็มเงินในมือออกไป สุดท้ายแล้วหนานกงเย่จึงกล่าวขึ้นว่า: "ข้าเอง"
ฉีเฟยอวิ๋นวางมือลงแล้วหนานกงก็เข้าประตูไปดูพอเห็นฉีเฟยอวิ๋นก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก สีหน้าอันเย็นชาจึงได้ค่อยๆคลายลง
“ข้ารู้อยู่แล้วว่าหากไม่กล่าวทักทายเสียก่อน เจ้าคงต้องลงมือกับข้าซะแล้ว”
หนานกงเย่แต่งกายด้วยชุดสีดำพร้อมทั้งแววตาอันคมลึก ขณะที่กล่าวเขาก็เดินไปยังตรงหน้าของฉีเฟยอวิ๋นแล้วและจับแขนของฉีเฟยอวิ๋นเอาไว้ หนานกงเย่กล่าวอย่างขุ่นเคืองว่า: "จะทำให้ข้าตกใจตายใช่หรือไม่?"
"ท่านอ๋อง"
ฉีเฟยอวิ๋นย่อกายถวายความเคารพ ใบหน้าหนานกงเย่นั้นบูดบึ้ง: "น้อยๆหน่อย!"
ฉีเฟยอวิ๋นขบขันจึงได้กล่าวว่า: "ท่านอ๋องลำบากแล้วเพคะ!"
"ฮึ่ม!"
หันหน้ากลับมาแล้วหนานกงเย่ก็มองหญิงชราที่อยู่บนเตียง เหลือบไปมองแว๊บหนึ่งและตกตะลึง: “ฮูหยินเฉินกั๋วกง?”
หญิงชรามองดูหนานกงเย่อย่างถี่ถ้วน: “อ๋องเย่ เจ้าเติบใหญ่แล้ว?”
“ฮูหยินใหญ่” หนานกงเย่ดึงฉีเฟยอวิ๋นเดินไปยังตรงหน้าของหญิงชราแล้วนั่งลงมองดูหญิงชรา
หญิงชรายิ้มแล้วกล่าวว่า: “หรือว่านางก็คือผู้ที่พยายามตามเจ้าอย่างไม่ลดละและไร้ยางอายยิ่งนักผู้นั้น แม้ว่าเจ้าจะแต่งงานกันแล้วก็จะบีบให้ตายผู้นั้นหรือ?”
รอยยิ้มบนใบหน้าของฉีเฟยอวิ๋นก็จางหายไป หมายความว่าเช่นไร?
ใบหน้าหนานกงเย่นั้นทำอะไรไม่ถูก เกรงว่าฉีเฟยอวิ๋นจะหาเรื่องเขาจึงได้รีบอธิบายว่า: "ในขณะนั้นข้ายังเยาว์และโง่เขลา ถือซะว่าคำพูดพล่อยๆตอนเด็กของข้าที่ไม่ควรถือสา"
"โอ้!"
หญิงชราเหลือบมองไปยังใบหน้าไม่พอใจของฉีเฟยอวิ๋นแล้วยิ้มและกล่าวว่า: "เมื่อครู่ขณะที่พระชายาทรงพูดคุยกับมิ่งฟู่ นางกล่าวว่าขณะแต่งงานถูกทุบตีจนสลบเจียนตาย มิ่งฟู่ยังไม่อยากจะเชื่อเลย"
“คำพูดใดกัน หญิงชรากล่าวเช่นนั้นไม่ได้ คำกล่าวกล่าวไว้ได้ดี การทุบตีคือความสนิทชิดเชื้อการด่านั้นคือความรัก ไม่ทุบตีไม่สนิทชิดเชื้อและไม่สนุกครื้นเครง” หนานกงเย่ได้ยินมาจากที่ฉีเฟยอวิ๋นกล่าว นางกล่าวโดยบังเอิญและเขาก็จำเอาไว้ได้
ขณะที่กล่าวก็มองย้อนกลับไปยังใบหน้าอันดูแคลนของฉีเฟยอวิ๋น หนานกงเย่ยิ้มแล้วกล่าวว่า: "ข้าก็แต่งงานแล้วถึงจะรู้ ภรรยาที่ดีเช่นนี้ถือโคมไฟก็ไม่สามารถหาเจอได้"
หญิงชราถูกแกล้งให้ขำ
หนานกงเย่มองดูบรรยากาศที่ถูกเขาดึงกลับมาแล้วจึงได้ถามขึ้นว่า: "เหตุใดท่านถึงตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้?"
“พูดแล้วเรื่องมันยาว ข้าเข้ามาที่วังเพื่อตามหาผู้ที่จะให้ความเป็นธรรม คิดไม่ถึงว่าการเดินทางนั้นช่างยากลำบากยิ่งนัก หนทางชีวิตการเป็นขุนนางยิ่งหนักหนา ลำบากทุกย่างก้าว
อันดับแรกถูกคนไล่ออกมาก่อน จากนั้นรีบเร่งเดินทางก็พบเจอโจรผู้ร้ายและทำตราประทับของกั๋วกงสูญหาย ค่าเดินทางก็หมดซะแล้ว
มาถึงเมืองหลวงพวกเราก็ไปยังกรมยุติธรรมก่อน รองเสนาบดีกรมยุติธรรมขับไล่พวกเราออกมา บอกว่าพวกเราพูดจาไร้สาระและยังทุบตีแม่นมสวี
ต่อมาข้าให้แม่นมสวีส่งข้าไปยังหน้าประตูของอาลักษณ์ราชสำนักกรมยุติธรรม อาลักษณ์ราชสำนักกรมยุติธรรมเดิมทีเขาเป็นลูกศิษย์ของนายท่าน แต่ตอนนี้เขาเห็นมิ่งฟู่ก็ไม่รู้จักซะแล้ว เขาบอกมิ่งฟู่ว่าอ้างเป็นซือหมู่นั้นจะต้องถูกโบย ให้มิ่งฟู่รีบจากไปโดยเร็ว
มิ่งฟู่ไม่ยอม เขาไม่ได้โบยมิ่งฟู่แต่โบยแม่นมสวี แม่นมสวีเพิ่งจะอาการดีขึ้นในช่วงครึ่งเดือนมานี้"
หนานกงเย่ฮึ่มเสียงเย็นชา:“พวกเขาต่อต้านซะแล้ว”
หนานกงเย่ลุกขึ้น: "ฮูหยินวางใจ วันนี้......"
ฉีเฟยอวิ๋นดึงหนานกงเย่ครั้งหนึ่ง: "ท่านอ๋อง ให้ข้าไปดีกว่า"
หนานกงเย่จ้องมอง: "อวิ๋นอวิ๋น ร่างกายของเจ้า......"
“วางใจเถอะ ปู้เหวินและพรรคพวกสองสามคนนั้นผู้คนในเมืองหลวงไม่รู้จัก ให้พวกเขาปกป้องคุ้มครองข้าอย่างลับๆ ข้าจะไปหาพวกเขา ข้าจะถลกหนังพวกเขาทีละชั้นๆ พวกเขาไม่เห็นกฎหมายอยู่ในสายตาเช่นนี้ก็คือหลอกลวงเบื้องบนและกลั่นแกล้งเบื้องล่าง เบื้องบนมีฝ่าบาท เบื้องล่างมีราษฎร แม้แต่ภรรยาหม้ายของอาจารย์ผู้มีบุณคุณก็ไม่รู้จักแล้วจะทนได้เช่นไร?”
หนานกงเย่อ้าปากค้างพร้อมทั้งใบหน้าอันขุ่นมัว: "อวิ๋นอวิ๋น ข้าไม่เห็นด้วยได้หรือไม่?"
"ไม่ได้!"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ