หนานกงเย่มองและลิกคิ้ว แววตาลึกจนมองไม่เห็นก้นบึ้ง:“เป็นเพราะน้ำที่นี่ลึกและกว้างใหญ่มากเกินไป ข้าจึงต้องตัดเปลี่ยนเส้นทางน้ำที่นี่ มิเช่นนั้นไม่ช้าก็เร็วจะต้องย้อนกลับ
อวิ๋นอวิ๋น ข้ารู้ว่าผู้คนในที่ของเจ้าต้องแบกรับความผิดพลาดในสิ่งที่ทำด้วยตนเอง
ข้าก็คิดเช่นนั้น หากเกินอะไรขึ้นกับข้า ข้าหวังเพียงว่าอวิ๋นอวิ๋นจะไม่เป็นอะไร
แต่หากปล่อยพวกเขาไปก็จะสร้างปัญหาให้ลูกหลานของข้าในภายหน้า
ข้าไม่มีทางจะทำเป็นเล่นอย่างเด็ดขาด
และมีเพียงวิธีเดียวคือต้องตัดรากถอนโคน
ตัดทางหนีทีไล่ของพวกเขา”
“ท่านอ๋องกล่าวเช่นนี้ ทรงไม่เป็นกังวลเลยหรือเพคะ?” ฉีเฟยอวิ๋นยังคงรู้สึกว่าลั่วสุ่ยแห่งนี้ ผู้คนดูท้อแท้สิ้นหวัง
จู่ ๆ ตระกูลเฉินก็ถูกตัดหัวทั้งตระกูล และบอกว่าพวกเขาเป็นกบฏ คนที่นี่อาจไม่เชื่อ และเป็นเรื่องยากที่จะบอกว่ามีคนยุให้รำตำให้รั่ว
เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ที่นี่จึงกลายเป็นเช่นนี้?
“ข้ามีแผนของตนเอง วันนี้ฮูหยินใหญ่กลับมา คนเก่าคนแก่ของเฉินกั๋วกงก็จะมาที่นี่ พวกเขาจะเข้ายึดครองลั่วสุ่ยแห่งนี้อีกครั้ง แม้ว่าคนในตระกูลเฉินจะมีใจออกห่างและไม่กล้าบุ่มบ่าม
บางอย่างจำเป็นต้องใช้เวลา แต่ข้าเชื่อว่า
พวกเขาจะเป็นเหมือนเด็กคนนี้ และเข้าใจว่าต้าเหลียงไม่เคยปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไม่ยุติธรรม!”
ฉีเฟยอวิ๋นมองหนานกงเย่อยู่ครู่หนึ่ง:“ท่านอ๋องว่าอย่างไรก็อย่างนั้นเถอะเพคะ”
นางตรวจดูอาการของเด็กเรียบร้อยแล้ว และแน่ใจว่าไม่มีปัญหา นางถามหนานกงเย่ว่า:“ท่านอ๋อง เขาชื่ออะไร ตั้งชื่อแล้วหรือไม่เพคะ?”
“ข้ายังไม่ได้คิดเลย เช่นนั้นอวิ๋นอวิ๋นตั้งจะดีกว่า” หนานกงเย่จับมือเด็กแล้วปล่อย จากนั้นก็มองดูเด็กคนนี้อย่างละเอียดรอบคอบ
ฉีเฟยอวิ๋นคิดอยู่ครู่หนึ่ง:“แม้ว่าตระกูลเฉินจะกบฏ แต่เขาก็ไม่เกี่ยวอะไรด้วย ท่านอ๋องกำจัดตระกูลเฉินจนสิ้นซากแล้ว ถือว่าหายกัน
ในตอนนั้นเพื่อที่จะช่วยเสด็จปู่ เฉินกั๋วกงยอมเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย และมีความดีความชอบในการสู้รบเพื่อต้าเหลียง กล่าวได้ว่าทำงานด้วยความมุมานะจนมีคุณูปการสูง
อันที่จริงก็ยังติดค้างพวกเขาอยู่
เช่นนั้นให้เด็กคนนี้ชื่อว่าเฉินเอิน”
หนานกงเย่คิดอยู่ครู่หนึ่ง:“ให้เขาชื่อเฉินเอิน”
“หากเขาอยากกินนม จะทำอย่างไรเพคะ?” ฉีเฟยอวิ๋นไม่มีประสบการณ์ในการดูแลเด็ก และตั้งแต่เข้าประตูมา เด็กคนนี้ก็ไม่เคยร้องไห้เลย
“มีเวลาไม่มากแล้ว เราควรไปกันได้แล้ว อวิ๋นอวิ๋นปล่อยให้เขาหลับไปสักพักก่อน หลังจากที่เราจากไปแล้วค่อยให้เขาตื่นขึ้นมา”
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปที่เด็กน้อยคนนั้นอยู่ครู่หนึ่ง และมีวิธีที่จะทำให้เขาหลับได้
นางหยิบยาผงขึ้นมาวางไว้บนนิ้วมือ แล้วใส่เข้าไปในปากเด็ก เด็กน้อยแลบลิ้นออกมาเลียแล้วค่อย ๆ หลับไป
หนานกงเย่ถามว่า:“ยาชาหรือ?”
“ยาชาจะใช้กับเด็กได้อย่างไรเพคะ นี่เรียกว่าน้ำมันหอมระเหย อันนี้หม่อมฉันยังไม่เคยใช้ แต่หม่อมฉันศึกษามาสักพักแล้ว
เดิมทีหม่อมฉันจะให้ผู้อื่นใช้ ของสิ่งนี้สกัดได้ยาก แต่กินแล้วจะไม่เป็นอันตราย ไร้สีไร้รส เวลาในการหลับนั้นสามารถกำหนดได้ตามปริมาณของยา เมื่อถึงเวลาที่กำหนดแล้ว ฤทธิ์ของยาก็จะสลายไปและตื่นขึ้นมาเพคะ”
“ในเมื่อไร้สีไร้รส และเหตุใดถึงเรียกว่าน้ำมันหอมระเหย?” หนานกงเย่ถามอย่างสงสัย
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกขบขัน:“ของหลายสิ่งหลายอย่างก็ล้วนแต่เป็นช่นนี้ไม่ใช่หรือเพคะ หม่อมฉันเพียงแค่เรียกชื่อให้มันน่าฟัง”
หนานกงเย่เหลือบมองฉีเฟยอวิ๋นและไม่ได้พูดอะไรมาก นางเอาผ้าคลุมหัวเด็กแล้วหันไปมองข้างนอก
ทหารกลุ่มหนึ่งเดินเข้าประตูไป ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกประหลาดใจ:“เร็วจัง?”
“ไปกันเถอะ”
หนานกงเย่เดินไปข้างหน้า ฉีเฟยอวิ๋นอุ้มตะกร้าแล้วเดินตามไป
ในลานมีทหารยืนอยู่สองกลุ่ม และเมื่อพวกเขาเห็นหนานกงเย่ก็คุกเข่าลงในทันที
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ