หนานกงเย่พินิจพิเคราะห์อยู่สักพักหนึ่ง จากนั้นเบนสายตามองไปทางอื่น
ผู้คนที่อยู่ตรงนั้นราวร้อยกว่าชีวิต ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกว่าไม่ใช่คนที่ยืนขึ้นมา อย่างมากคนผู้นี้ก็รู้เพียงเรื่องของกระบี่ แต่ที่นี่มีคนมากมาย หรืออาจจะพูดว่ากองกำลังทหารอารักขาคนมากมาย คนที่รู้เลยมีจำนวนมาก
เพียงแต่เวลานี้ทุกคนกลัวเลยไม่กล้าที่จะยอมรับออกมาเท่านั้นเอง
มองอยู่สักพักหนึ่ง หนานกงเย่เลยชี้ไปทางคนนั้น กล่าวว่า “เจ้าคือผู้ใดกัน?”
“กระหม่อมเป็นรองแม่ทัพกองกำลังทหารอารักขาเมิ่งกวงพ่ะย่ะค่ะ”เมิ่งกวงเป็นบุคคลที่กล้าหาญ แม้อายุน้อย แต่กลับเป็นผู้ที่มีรูปร่างสูงใหญ่
พอมองดูแล้วไม่ใช่คนที่จะพูดได้ง่ายดาย
ฉีเฟยอวิ๋นมองคนผู้นี้สักพักหนึ่ง มีความรู้สึกแปลกใจ พบว่าสายตาของเขาไม่ปกติ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ทำแค่เพียงดึงหนานกงเย่เล็กน้อย
“ท่านอ๋อง หม่อมฉันเหนื่อยแล้วเพคะ มิสู้กับกลับก่อน รอคนของพระราชวังมาแล้วค่อยถามเพคะ”
“พระชายาเข้าไปก่อนเถิด ข้าจะไต่ถามก่อน”
หนานกงเย่พูดจบจึงปล่อยมือออก ฉีเฟยอวิ๋นเลยหมุนตัวเดินเข้าไปด้านใน
ภายในเรือนยังคงสอบถามเกี่ยวกับเรื่องของกระบี่เหมือนเดิม แต่ถามไม่ได้ความอะไร หนานกงเย่เลยจะกลับเข้าไปพักผ่อน
เวลานี้ฉีเฟยอวิ๋นยืนรออยู่หน้าประตู เห็นหนานกงเย่ลุกขึ้นยืน เลยกล่าวว่า
“ท่านอ๋อง ถามได้ความแล้วหรือเพคะ?”
“ไม่เลย น่าจะเป็นรองแม่ทัพเมิ่งกวง แต่ตอนนี้หาหลักฐานมาไม่ได้ “หนานกงเย่มองภายในห้อง มู่เหมียนนั่งอยู่อีกด้าน
เวลานี้ฉีเฟยอวิ๋นเลยกล่าวขึ้นว่า “ท่านอ๋อง หม่อมฉันอยากออกไปเดินเพคะ”
ฉีเฟยอวิ๋นมองหมอโจว ไม่ใช่ว่าจะกล่าวพูดทุกเรื่องได้เมื่ออยู่ต่อหน้าหมอโจว
แน่นอนว่ามู่เหมียนเข้าใจ นางเลยมองฉีเฟยอวิ๋น โดยที่ไม่กล่าวพูดสิ่งใดออกมา
“ไปกันเถอะ”หนานกงเย่กล่าวแล้วจูงมือของฉีเฟยอวิ๋นออกไปทางด้านนอก
ที่นี่ยังมีห้องอื่น เลยเดินไปทางด้านนั้น
ภายในเรือนคนมากมาย ฉีเฟยอวิ๋นเลยเดินอ้อม
ตูไห่ยืนสีหน้าอึมครึมอยู่ในเรือน
ในกองกำลังทหารอารักขามีคนทรยศ สำหรับเรื่องนี้ตูไห่มองว่าต้องรีบจัดการอย่างรวดเร็ว อีกทั้งไม่สามารถให้อภัยได้
ฉีเฟยอวิ๋นเดินมาตรงบริเวณที่ไม่มีคน เธอเลยถามหนานกงเย่ว่า “ท่านอ๋อง ท่านอ๋องคิดว่าเรื่องนี้มุ่งเป้ามาที่ท่านอ๋องหรือ?”
“ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาจงชินไม่เคยปล่อยแม้แต่เรื่องเดียวและโอกาสเดียวเลย แต่ครั้งนี้จุดมุ่งหมายของพวกเขาเรียบง่ายมาก มีแค่หนึ่งอย่าง”
หนานกงเย่คิดสาเหตุออกแล้ว แต่ฉีเฟยอวิ๋นแปลกใจ ถามว่า “อะไรหรือเพคะ?”
“บังคับฮองเฮาลงมือ”
“บังคับฮองเฮา?”ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวออกมาอย่างคิดไม่ถึง
“หากฮองเฮาอยากจะทำให้ฝ่าบาทตายจริงๆ ก็ลงมือไปตั้งนานแล้ว ต้องรู้ว่าช่วยชีวิตคนคนหนึ่งมันยากมาก แต่ทว่าการสังหารคนคนหนึ่งมันกลับเป็นเรื่องง่ายดาย
ฮองเฮาอยู่ข้างกายฝ่าบาทมาหลายปี หากต้องการจะสังหารฝ่าบาทจริง ก็ลงมือนานแล้ว
และฝ่าบาทก็ไม่มีทางมีชีวิตรอดมาจนถึงทุกวันนี้หรอกนะ”
“เช่นนั้นความหมายของท่านอ๋องก็คือ มีคนบังคับฮองเฮาต้องการให้ฮองเฮาสังหารฝ่าบาทให้สิ้นพระชนม์ แต่ฮองเฮาไม่ยอมลงมือทำนะหรือเพคะ?”
“แม้ว่าฝ่าบาทกับฮองเฮาจะไม่ได้มีความรักต่อกัน แต่ฮองเฮาเข้ามาพระราชวังโดยฝ่าบาท หากไม่ใช่ฮองเฮาฝ่าบาทจะไม่แต่ง
ตอนที่ข้ายังวัยเยาว์ ฝ่าบาทพาข้าออกไปข้างนอกวังหนึ่งครั้ง พระองค์พาข้าไปที่จวนเสนาบดี นั่งมองหญิงนางหนึ่งอยู่ด้านบนห้อง
หญิงผู้นั้นคือฮองเฮา ความคิดจิตใจของฝ่าบาทอยู่ที่ฮองเฮาหมด
แต่ข้าจำได้ว่า ในเรือนนั้นมีชายอยู่ผู้หนึ่ง ชายหนุ่มอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับฝ่าบาท อีกทั้งฐานะก็ไม่ธรรมดา
ต่อมาข้าได้ยินว่า ชายผู้นั้นออกอุบายก่อกบฏจนตาย เป็นฝ่าบาทที่ควบคุมสังหารเอง
ผลสรุปเพราะเหตุใด ช่วงเวลานั้นข้ายังวัยเยาว์ แน่นอนว่าไม่เข้าใจหลักเหตุผล
แต่เกิดในครอบครัวที่เป็นขุนนาง ผู้ใดสามารถเอาตัวรอดได้เล่า?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ