ฉีเฟยอวิ๋นตื่นจากภวังค์ความมึนงงราวกับถูกไก่ขันปลุกตื่นขึ้นมา กำลังมองใบหน้าที่โมโหเดือดดาลของหนานกงเย่ หนานกงเย่ก็กล่าวขึ้นด้วยความโมโหว่า “เจ้าไม่ละอายใจต่อข้าเลย”
ฉีเฟยอวิ๋นอ้าปากกำลังจะกล่าว แต่ไม่ทันได้กล่าวหนานกงเย่ก็หันไปกล่าวกับมู่เหมียนว่า “เจ้าก็ด้วย ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปไม่จำเป็นต้องมาที่จวนอ๋องเย่ข้าอีก”
หนานกงเย่กล่าวพูดจบแล้วลากฉีเฟยอวิ๋นลงมาจากเตียง และยังเอาชุดคลุมคลุมให้กับฉีเฟยอวิ๋นด้วย
ฉีเฟยอวิ๋นสวมใส่ชุดคลุมเป็นพัลวัน พอจ้องมองหน้าเขาก็เป็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเดือดดาล
เวลานี้อาอวี่ตกใจเป็นอย่างมาก เขาได้ยินเสียงคำรามด้วยความเดือดดาลถึงได้เข้ามา พอเข้ามาก็เห็นหญิงสาวสองนางกอดกันกลม
เดิมอาอวี่คิดว่าตนควรจะวิ่งหลบหนีออกไป ถึงอย่างไรก็เป็นพระชายากับจวิ้นจู่ไม่ควรจะมอง แต่เวลานี้ภาพที่อยู่ตรงหน้างดงามหยดย้อยเหลือเกิน นึกถึงตอนที่พระชายาอยู่ในอ้อมกอดของมู่เหมียน อีกทั้งศีรษะของมู่เหมียนแนบอยู่ตรงทรวงอกของพระชายา ภาพชุดนั้นมันช่างงดงามเสียเหลือเกิน
อาอวี่ตกใจจนคางจะย้อยลงมา เขาจะออกไปจากตรงนี้ได้อย่างไรกันเล่า และอย่าพูดถึงการที่จะหมุนตัวออกไปเลย
ฉีเฟยอวิ๋นถูกโอบกอดอย่างแนบแน่นอยู่ในอ้อมกอดของหนานกงเย่ แววตาของหนานกงเย่เย็นชาคล้ายดั่งน้ำแข็ง จนคนต้องสะดุ้งตกใจ
มือทั้งสองของฉีเฟยอวิ๋นดันอยู่บริเวณแผ่นอกของหนานกงเย่ เธอกล่าวว่า”ท่านอ๋อง หม่อมฉันเหนื่อยแล้ว หลับไปโดยไม่ทันระวัง จวิ้นจู่เกรงว่าจะเกิดเรื่องกับหม่อมฉันเลยนอนอยู่ด้านข้าง อาจจะเป็นเพราะพวกหม่อมฉันเหนื่อยมาก เลยนอนอยู่ด้วยกันเพคะ”
“ข้าว่า ช่วงนี้พระชายายิ่งไม่รู้จักกฎเกณฑ์เสียแล้ว เตียงนี้นอนสบายหรือไม่?”หนานกงเย่กัดฟันกรอด นึกถึงภาพเมื่อครู่ก็โกรธเดือดดาลปะทุขึ้นมา
เวลานี้มู่เหมียนเริ่มคิดได้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น นางเลยลงมาจากเตียงแล้วหยิบชุดสวมใส่พร้อมกับอารมณ์ที่ปะทุขึ้นมา
“ท่านพี่ดูไม่มีความสุข คิดว่าข้ากับพระชายามีอะไรกัน แต่ท่านพี่อย่าลืมล่ะ ระหว่างข้ากับท่านก็เคยนอนร่วมกันเช่นนี้”
พอมู่เหมียนกล่าวพูดออกมา คนที่อยู่บริเวณนั้นต่างตกใจก้มศีรษะลงอย่างพร้อมเพรียงกัน คำพูดเช่นนี้ไม่ควรที่จะเอ่ยออกมา เพราะจะทำให้แต่งงานออกเรือนไม่ได้
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวถามว่า“ท่านอ๋อง.....”
“เจ้าอย่าฟังนางพูดไปเรื่อย ข้านอนกับนางตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? ”หนานกงเย่ยิ่งโมโหสับสนวุ่นวายใจ กอดคนในอ้อมแขนแน่นขนัดขึ้น
ฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้ใส่ใจ เธอมองไปทางมู่เหมียนเพื่อรอคำอธิบายจากนาง
มู่เหมียนกล่าวอย่างไม่ลังเลใจว่า“ปีนั้นตอนอายุสิบขวบ ข้าเข้าไปในวัง ก็นอนหลับอยู่ข้างกายของพระพันปี วันนั้นท่านพี่ป่วย และยังเคยโอบกอดข้าด้วย”
สิบขวบหรือ?
สมองของฉีเฟยอวิ๋นล่องลอยปลิวลมไปหนึ่งรอบ อายุของมู่เหมียนรุ่นราวคราวเดียวกันกับเธอ วันนี้อายุสิบหกขวบ โตกว่าเธอหนึ่งขวบ
และหนานกงเย่โตกว่าเธอสี่ขวบ อายุสิบเก้าขวบ
เช่นนั้นตอนที่มู่เหมียนอายุสิบขวบ หนานกงเย่ก็สิบสามขวบแล้ว
สิบสามขวบ สิบขวบก็พอรู้เรื่องรู้ความอยู่บ้าง ในพระราชวังอายุสิบขวบกับสิบสามขวบสามารถแต่งงานออกเรือนได้แล้ว
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกเจ็บแปลบ เธอมองหนานกงเย่ จากนั้นกล่าวว่า“ท่านอ๋อง โดยแท้จริงแล้วพวกท่าน.......”
“เหลวไหล ตอนนั้นข้าป่วย จำอะไรไม่ได้แล้ว แล้วก็ทำอะไรไม่ได้ด้วย นางต้องการทำสิ่งใด ข้าปฏิเสธได้อย่างไรกัน?
ส่วนเกิดเรื่องนี้จริงหรือไม่นั้น ข้าจำไม่ได้แล้ว และก็ไม่มี”
“........”ทันใดนั้นฉีเฟยอวิ๋นพบว่าคนผู้นี้เถียงข้างๆคูๆเก่งซะเหลือเกิน!
เขาไม่อยากให้เธอเป็นอย่างนี้อย่างนั้น แต่ตัวเขาเองกลับประมาทเลินเล่อ
คำพูดเดียวของเขา ปัดเรื่องราวที่ผ่านมาทิ้งได้ เก่งเสียจริง!
เห็นฉีเฟยอวิ๋นจ้องมองเขา หัวใจของเขามันยิ่งเต้นระรัว แขนกอดรัดแน่น กล่าวด้วยน้ำเสียงน่าเกรงขามว่า“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ห้ามเจอมู่เหมียนอีก ไปกันเถิด”
หนานกงเย่ดึงมือของฉีเฟยอวิ๋นไป และชำเลืองมองมู่เหมียนด้วยความไม่สบอารมณ์
มู่เหมียนกล่าวขึ้นด้วยความประหลาดใจว่า“หมายความว่าอย่างไรกัน?”
สาวใช้รีบลุกมาข้างกายของมู่เหมียน เพื่อจัดการชุดที่ยุ่งเหยิงของนาง หากเรื่องนี้แพร่สะพัดออกไป เกรงว่าจะไม่ใช่เรื่องที่น่าฟัง
มู่เหมียนผลักสาวใช้ออก กล่าวขึ้นว่า “ข้าทำเอง”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ