วัดฉือหนิงเป็นวัดของราชวงศ์ คนในราชวงศ์โดยส่วนมากจะมาที่แห่งนี้ ฉีเฟยอวิ๋นรวบรวมข้อมูลจากความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมมองเห็นคนเหล่านั้น และไม่เว้นแม้แต่นางสนมของต้าเหลียง
และหนึ่งในนั้นก็มีฮองเฮาที่สถาปนาเมืองต้าเหลียง มาดูแลตนเองในวัยชรา ณ ที่แห่งนี้ด้วย
แต่ก็มีบางส่วนที่ถูกเนรเทศมาที่นี่
พูดอย่างชัดเจนก็คือสถานที่แห่งนี้สามารถเป็นสถานที่ให้หญิงของต้าเหลียงสงบจิตใจได้
ฝ่าบาทเนรเทศฮองเฮามาที่นี่ บางทีอาจจะอยากให้ฮองเฮาสงบจิตใจ และยังต้องการที่จะปกป้องฮองเฮาด้วย
แต่เฉินอวิ๋นชูรู้หรือไม่ ต้องดูที่ตัวของนางแล้ว
ฉีเฟยอวิ๋นเดินตามเข้าไป สมภารของวัดฉือหนิงได้พาคนออกมาต้อนรับ หนานกงเย่ก้มศีรษะลงเล็กน้อยเพื่อแสดงการเคารพ จากนั้นกล่าวว่า “สวัสดีท่านสมภาร”
“ท่านอ๋องเย่ ไม่พบกันนาน สบายดีหรือไม่เพคะ”
สมภารของวัดเป็นแม่ชี เจ็ดสิบแปดสิบปีแล้ว แต่มองแววตาของนางแจ่มแจ้งเป็นอย่างมาก พูดอย่างชัดเจนว่าคนผู้นี้เมื่อผ่านช่วงสิบปีแปดปีไปก็ไม่เป็นไร
หนานกงเย่กล่าวว่า”ข้าสบายดี”
“เชิญท่านอ๋องเย่เพคะ สองวันมานี้ฮองเฮาพักอยู่ทางเรือนด้านหลัง “ท่านสมภารเอียงตัวเอี้ยวเชื้อเชิญหนานกงเย่กับฉีเฟยอวิ๋น หนานกงเย่จึงเดินไปทางเรือนหลัง
ฉีเฟยอวิ๋นเดินตามหนานกงเย่ไป ประตูเรือนเป็นประตูแปดเหลี่ยม และหน้าประตูมีองครักษ์เฝ้าอยู่ แต่ไม่เห็นมีขันที ด้านในมีนางกำนัลเดินวนเวียนอยู่ด้วย
องครักษ์เห็นหนานกงเย่เลยคุกเข่าลงหนึ่งข้าง กล่าวว่า”ถวายบังคมผู้รักษาราชการแทนพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”
“ลุกขึ้นเถิด”
หนานกงเย่เข้าไปดูฮองเฮา เวลานี้เฉินอวิ๋นชูกำลังดูคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาอยู่
หนานกงเย่มาถึงหน้าประตู กล่าวขึ้นว่า “กระหม่อมถวายบังคมฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ”
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปแล้วรู้สึกว่าเขาแสดงได้ดีเสียจริง
“เข้ามาเถิด”
เป็นเวลานานเสียงของเฉินอวิ๋นชูถึงดังขึ้น หนานกงเย่เลยเดินเข้าไปในห้องของเฉินอวิ๋นชู
พอเข้าไปฉีเฟยอวิ๋นชำเลืองมองดู ภายในห้องสะอาดมาก ตรงจุดที่ประทะหน้าเป็นพระใหญ่ เฉินอวิ๋นชูนั่งอยู่ด้านล่าง ด้านบนมีกระถางธูปกับแผ่นกระดาษคัมภีร์ ในมือของนางกุมพู่กัน และกำลังเขียนคัมภีร์
หนานกงเย่กับฉีเฟยอวิ๋นเดินเข้าไปเฉินอวิ๋นชูก็ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง ช่วงนี้นางสวมใส่ชุดเรียบหรูแต่ดูงาม ปล่อยผมสลวยสยายลง คล้ายดั่งแม่ชีที่ไม่สามารถแต่งงานออกเรือนได้
หนานกงเย่กล่าวว่า “กระหม่อมมารับฮองเฮากลับไปพ่ะย่ะค่ะ”
มือของเฉินอวิ๋นชูชะงักหยุดลง ครั้งนี้นางเงยหน้าขึ้นมอง
ฉีเฟยอวิ๋นถอนสายบัวกล่าวว่า “หม่อมฉันถวายบังคมฮองเฮาเพคะ”
“มิต้องมากพิธี”เฉินอวิ๋นชูกล่าว พอคิดดูแล้วเลยกล่าวถามว่า”เกิดเรื่องอะไรขึ้นใช่หรือไม่?”
“แม่ทัพน้อยเฉินมิเป็นอะไรแล้ว เพียงแต่เมื่อวานฝ่าบาทคิดถึงฮองเฮา ไม่ยอมเสวยอาหารเลย กระหม่อมเกรงว่าจะมิเป็นผลดีต่อร่างกายฝ่าบาท เลยหวังว่าฮองเฮาจะสามารถกลับไปดูฝ่าบาทได้”
เฉินอวิ๋นชูวางพู่กันลง กล่าวว่า”ฝ่าบาทไม่เสวยอาหารหรือ?”
“ข้าวปลาอาหารน้ำไม่เสวยเลยพ่ะย่ะค่ะ”หนานกงเย่กล่าว
เฉินอวิ๋นชูนั่งไม่ติด ลุกขึ้นกล่าวว่า “ท่านอ๋องออกไปก่อน ข้าจะเตรียมตัวสักครู่”
“พ่ะย่ะค่ะ”
หนานกงเย่และฉีเฟยอวิ๋นจึงหมุนตัวออกมาจากห้อง
พอมาถึงภายในเรือนฉีเฟยอวิ๋นเลยกล่าวถามเสียงเบาว่า “ฝ่าบาทไม่เสวยอาหารจริงหรือ?”
”ข้าแอบเห็นว่าฝ่าบาทมีจิตใจมุ่งมาดคิดถึงฮองเฮา แม้แต่เรื่องสัมพันธ์ระหว่างญาติยังไม่สนใจเลย พระองค์ยังมีเรื่องอันใดที่ทำไม่ได้อีกล่ะ?”
ฉีเฟยอวิ๋นหันไปมองห้องพักของเฉินอวิ๋นชูที่ประตูห้องได้ปิดลงแล้ว
เธอไม่เข้าใจ หากว่าฮองเฮากับฝ่าบาทมีจิตใจที่ตรงกันรักกันแน่วแน่ เช่นนี้ฉากสุดท้ายจะจบอย่างไร?
ไม่นานเฉินอวิ๋นชูจึงเดินออกมา นางสวมใส่เรียบร้อยแล้วและยังมีนางกำนัลจัดแจงชุดให้อีกครั้ง
หนานกงเย่ก้มศีรษะลงเล็กน้อย จากนั้นหมุนตัวเดินไปทางด้านนอก
เดิมฉีเฟยอวิ๋นจะเดินตามไปด้วย แต่ทว่ากลับถูกเฉินอวิ๋นชูเรียกไว้”ช้าก่อนพระชายาเย่”
ฉีเฟยอวิ๋นหมุนตัวกลับไป ถอนสายบัวและกล่าวว่า “ถวายบังคมฮองเฮาเพคะ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ