หนานกงเย่ลุกขึ้นและมองกระจกอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันไปมองฉีเฟยอวิ๋น “พาข้าไปดูที่ที่พวกเจ้าฝึกซ้อมหน่อยเถิด”
ฉีเฟยอวิ๋นวุ่นวายใจนิดหน่อย “ท่านอย่าไปไหนไกลนัก ที่นี่ไม่เหมือนที่ของท่าน”
“ข้าจะไป” หนานกงเย่ยืนกรานอย่างไว้อำนาจ ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกจนปัญญากับเขาและคิดได้แค่ว่าหลังจากนี้เขาจะต้องคิดหาวิธีไปด้วยตัวเองแน่
แทนที่จะให้เป็นแบบนั้นสู้เธอพาเขาไปจะดีกว่า
“ถ้าท่านจะไปดูก็ได้”
“ข้าจะไม่ทำตัววุ่นวาย” คำสัญญาของหนานกงเย่ทำให้ฉีเฟยอวิ๋นยอมแพ้ ฝีปากของชายผู้นี้เชื่อถือไม่ค่อยได้ แต่จะไม่รับปากก็เป็นอะไรที่ดูคลุมเครือ
ฉีเฟยอวิ๋นทิ้งโน้ตเอาไว้แผ่นหนึ่งและพาหนานกงเย่ไปที่สนามฝึก
พวกเขาใช้ที่นี่เป็นฐานที่มั่น สถาบันวิจัยอยู่ห่างจากสนามฝึกไปพอสมควร ถ้าจะขับรถไปก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งชั่วโมง
ฉีเฟยอวิ๋นหารถมาคันหนึ่ง แต่หนานกงเย่อยากจะเป็นคนขับ
ฉีเฟยอวิ๋นยืนอยู่ข้างๆ อย่างกลุ้มใจ “ท่านต้องเห็นการปล่อยจรวด ท่านขึ้นไปบนท้องฟ้าได้เลยนะ!"
หนานกงเย่คิดเป็นจริงเป็นจัง “จรวดยอดเยี่ยมขนาดนั้นเลยรึ”
“ท่านอย่าพูดอะไรเลย ไม่อย่างนั้นก็ไม่ต้องขึ้นรถกันแล้ว” ฉีเฟยอวิ๋นขึ้นรถและพาหนานกงเย่ไปที่สนามฝึก ฉีเฟยอวิ๋นได้แต่หวังว่านี่จะเป็นแค่ความฝัน
หนานกงเย่นิ่งเงียบไปตลอดทางและเอาแต่จ้องมองคอนโซลรถ ฉีเฟยอวิ๋นมองเขาอย่างสงสารและพูดถึงเรื่องทักษะการขับรถให้เขาฟัง ซึ่งเขาก็จดจำไว้
ที่สนามฝึกมีคนฝึกซ้อมอยู่ อันหลิงกลัวว่าจะมีใครเห็นจึงไม่กล้าพาหนานกงเย่เข้าไปใกล้ ดังนั้นเธอจึงส่งกล้องส่องทางไกลให้หนานกงเย่ “ท่านดูสิ อย่าเข้าไปใกล้เลย ถ้าพวกเขาเห็นเข้าจะมาจับพวกเราเสียเปล่าๆ เราไม่มีตัวตนที่นี่”
หนานกงเย่เชื่อฟังแต่โดยดีและยืนขึ้นเพื่อดูการฝึก
ฉีเฟยอวิ๋นมองท่ายืนที่ดูองอาจกล้าหาญของเขา เธอเกิดความรู้สึกบางอย่างที่ไม่อาจบรรยายได้ แม้ว่าเธอไม่รู้ว่าหนานกงเย่คิดจะทำอะไรก็ตาม
เมื่อถามใจตัวเองดูก็พบว่าผู้ชายคนนี้เป็นดั่งทองคำแท่ง ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็เปล่งประกาย!
ทั้งยังเป็นเปล่งประกายจนแสบตาเสียด้วย!
หลังจากมองดูอยู่ครู่หนึ่งหนานกงเย่ก็ส่งกล้องส่องทางไกลให้ฉีเฟยอวิ๋น “เอากลับไปด้วย”
ฉีเฟยอวิ๋นรู้ดีว่าเขาก็คือโจรคนหนึ่ง เห็นอะไรก็อยากได้ไปหมด
ขณะที่ฉีเฟยอวิ๋นกำลังคิดจะขับรถกลับ เขาก็เอ่ยขึ้นมาว่า “ข้าขอขับ”
“ท่านล้อเล่นเหรอ” ฉีเฟยอวิ๋นกลัวว่าชีวิตน้อยๆ ของเธอจะหาไม่
ชีวิตหาไม่ก็ไม่เป็นไร แต่เธอยังไม่ได้ไปเอายามาเลย
“พูดจริง” หนานกงเย่มีสีหน้าจริงจัง ฉีเฟยอวิ๋นจึงทำได้แค่ต้องมอบรถให้หนานกงเย่ ตายเป็นตายก็แล้วกัน
หนานกงเย่ขึ้นรถและนั่งอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่ง พอนึกถึงว่าเขาเป็นท่านอ๋องมาจากสมัยโบราณ ฉีเฟยอวิ๋นก็อดกังวลใจไม่ได้ แต่เธอจะทำอะไรได้เล่า
เขาอยากขับ ถ้าตายจะโทษใครได้
แต่แล้วก็เกิดปาฏิหาริย์ หนานกงเย่สตาร์ทรถและขับออกไป นอกจากนี้เขายังมองกระจกมองข้างและใช้คลัตช์กับคันเร่งได้อีกด้วย
ยานพาหนะทางการทหารไม่ได้ใช้เกียร์อัตโนมัติ เขามองฉีเฟยอวิ๋นก้มหน้าลงขณะที่เขากำลังคุมเครื่องยนต์ นอกจากนี้เขายังถอยรถได้และเข้าเกียร์ได้ตรงตำแหน่งที่ถูกต้อง
หนานกงเย่ไม่ได้รู้สึกลิงโลดจนถึงกับไม่มีสติขณะที่ขับรถ และฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่เห็นว่าเขาจะดูตื่นเต้นจนประหม่าสักเท่าไหร่เลย
เขามองกระจกมองหลังอย่างเป็นมืออาชีพราวกับว่าเขาเป็นคนขับรถคนหนึ่ง ดูไม่ขัดตาเลยแม้แต่น้อย
ฉีเฟยอวิ๋นที่ชื่นชมเขาได้แต่งงงัน
รถกลับไปทางเดิม และฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่มีอะไรจะพูด
เธอได้แต่นึกดีใจที่คนอย่างหนานกงเย่เกิดในยุคสมัยที่ไม่มีวิทยาการที่ทันสมัย ไม่อย่างนั้นคงไม่รู้เลยว่าเขาจะกลายเป็นคนแบบไหน
เมื่อเทียบกันแล้ว ซูมู่หรงดูเหมือนจะไม่ได้เป็นขนาดนี้
ฉีเฟยอวิ๋นลงมาจากรถเมื่อหนานกงเย่จอดรถเรียบร้อยแล้ว หนานกงเย่มองรถอย่างใจลอย ฉีเฟยอวิ๋นมองเขาออกทันที ไม่รอให้หนานกงเย่พูดอะไรฉีเฟยอวิ๋นก็รีบบอกเขาว่า “รถใหญ่เกินไป เอากลับไปไม่ได้”
“อืม”
หนานกงเย่ดูเหมือนจะเข้าใจเหตุผลดี ดังนั้นเขาจึงหันหลังและเดินจากไป
ทั้งสองคนกลับไปที่ห้องพักของซูมู่หรง ฉีเฟยอวิ๋นมองหาเป้ทหารและนำทุกอย่างที่หนานกงเย่ต้องการเอากลับไปด้วยใส่เข้าไป
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ