ฉีเฟยอวิ๋นนำเค้กที่ทำเสร็จแล้วออกมาจากข้างใน ทั้งสองคนไม่พูดอะไร เมื่อซูมู่หรงเห็นกล่องที่อยู่ในห้องก็รู้สึกไม่สบายใจ
“เด็ก ๆ ชื่ออะไรกันบ้าง?”
“ยังไม่ได้ตั้งชื่อเลยค่ะ ทางนั้นไม่ได้รีบตั้งชื่อให้เด็ก ๆ แม้ว่าจะโตแล้วแต่บางคนก็ยังไม่ได้รับการตั้งชื่อ เขาบอกว่าต้องรอครบหนึ่งร้อยวันก่อน” ฉีเฟยอวิ๋นที่กำลังยุ่งวุ่นวายได้พูดอธิบาย
“ชื่อเล่นละ?”
“พี่ใหญ่ถึงพี่ห้า.....” ฉีเฟยอวิ๋นลังเลอยู่เล็กน้อย : “หัวหน้าคะ ต่อไปหัวหน้าก็ต้องมีลูกของตัวเอง มีแต่พ่อแม่เท่านั้นที่จะเข้าใจถึงความสำคัญของครอบครัว
ซูมู่หรงได้แต่เงียบ ขาดผู้เป็นที่รักไป ไม่มีสิ่งใดที่ยากกว่านี้สำหรับเขาอีกแล้ว
เค้กได้รับการรังสรรค์ออกมาอย่างงดงาม ฉีเฟยอวิ๋นจุดเทียน จากนั้นก็เอ่ยถามอายุของซูมู่หรง ซึ่งนางเพิ่งได้รู้ว่าซูมู่หรงอายุมากกว่านางหลายปี
ทั้งสองคนนั่งพูดคุยกันอยู่พักใหญ่
ฉีเฟยอวิ๋นรอจนซูมู่หรงหลับไป นางจึงได้จากไป
เวลาที่ได้รับในครั้งนี้ทำให้ฉีเฟยอวิ๋นพึงพอใจอย่างมาก เธอครุ่นคิดหาวิธีการพาของทั้งหมดกลับไปพร้อมกับตัวเธอ
เมื่อลืมตาขึ้นมา ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นมานั่ง หนานกงเย่ในเวลานี้กำลังนั่งแกว่งเปลลูกน้อยไปมาอยู่บนพื้น เขาแกว่งเปลพลางบ่นอุบอิบไปมาว่า : “หยุดร้องไห้ได้แล้ว พวกเจ้าจะมางอแงกับข้าเพื่อสิ่งใด ไม่ใช่ท่านแม่ของพวกเจ้าหรอกหรือที่ให้กำเนิดพวกเจ้าออกมา แต่กลับไม่สนใจใยดีพวกเจ้า พวกเจ้าคิดถึงนาง แต่นางก็ดันมาหลับใหล ไม่รู้ว่าไปเที่ยวเล่นที่ไหน คิดแล้วก็น่าโมโห
รอนางกลับมาก่อน พ่อจะสะสางแม่ของพวกเจ้าให้จงได้”
ฉีเฟยอวิ๋นลงจากเตียง : “เดี๋ยวหม่อมฉันจัดการเองเพคะ”
หนานกงเย่ยังคงโกรธเคือง : “เจ้ายัง....”
เมื่อหนานกงเย่เงยหน้าขึ้นมาก็เห็นฉีเฟยอวิ๋นยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม จึงตกตะลึงงันไปชั่วขณะ ในตอนที่ตื่นจากภวังค์นั้นฉีเฟยอวิ๋นได้เดินมาถึงตรงหน้าของหนานกงเย่อย่างไม่สบอารมณ์ จากนั้นก็อุ้มเด็กน้อยขึ้นมา และตบก้นเด็กน้อยอย่างเบามือพลางกล่าวว่า : “อย่าไปฟังพ่อของเจ้าพูดจาเหลวไหล เพราะเส้นเลือดของแม่ได้รับความเสียหาย เลือดที่เลี้ยงส่งหัวใจจึงจึงไม่เพียงพอ สุดท้ายร่างกายจึงเหนื่อยล้าและสลบไป ต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวระยะเวลาหนึ่ง ประกอบกับเสด็จลุงของพวกเจ้า ซึ่งก็คืออาจารย์ของเจ้าได้รับบาดเจ็บอย่างแสนสาหัส แม่จึงต้องไป ทำให้กลับมาช้าเช่นนี้!”
“ไอคนสารเลวนั้นตายแล้วหรือ?” หนานกงเย่ได้ยินดังนั้นก็โกรธขึ้นมาทันที
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปทางหนานกงเย่อย่างไม่สบอารมณ์นัก : “ท่านอ๋อง ไม่มีสิ่งใดจะกล่าวแล้วหรือเพคะ?”
“ไม่มี!”
ในใจของหนานกงเย่คือเป็นห่วงเรื่องที่เส้นเลือดของฉีเฟยอวิ๋นได้รับความเสียหาย แต่เมื่อได้ยินเรื่องของซูมู่หรงก็ฉุนเฉียวขึ้นมาทันที จึงไม่ได้ถามสิ่งใด
ฉีเฟยอวิ๋นชำเลืองมองแวบหนึ่ง ในขณะที่เขากำลังเสียใจนั้น ฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้สนใจเขาแต่อย่างใด ทั้งยังพาเด็กน้อยไปนอนบนเตียงอีกด้วย หลังจากวางเด็กน้อยลงบนเตียงแล้วก็ทำการตบก้นกล่อมอย่างเบามือ นางตบกล่อมอย่างมีความสุข เด็ก ๆ ไม่มีเสียงร้องแม้แต่เอะเดียว ฉีเฟยอวิ๋นพรมจูบอย่างรักใคร่ ก่อนจะผละออกและเริ่มคลี่ยิ้ม
เด็ก ๆ นอนเล่นอยู่บนเตียงอย่างอารมณ์ดี ฉีเฟยอวิ๋นจึงได้หันไปมองหนานกงเย่พลางกล่าวว่า : “ท่านช่วยออกไปดูข้างนอกให้หม่อมฉันหน่อยเพคะ ว่ามีของวางอยู่ในลานกว้างหรือไม่ ตอนที่กลับมาหม่อมฉันได้เตรียมของไว้ไม่น้อย ไม่รู้ว่าจะพากลับมาได้หรือไม่ เพราะมีจำนวนมากเกินไป หม่อมฉันเองก็จนปัญญาจะพากลับมา หากพากลับมาได้ ท่านช่วยย้ายเข้ามาด้วยนะเพคะ”
เมื่อหนานกงเย่ได้ยินว่ามีสิ่งของ ก็หมุนตัวเดินออกไปทันที
ฉีเฟยอวิ๋นไม่รู้ว่าจะกล่าวสิ่งใด แม้ว่าฝั่งนั้นจะบอกว่าไม่ใช่ของที่ดีนัก แต่เมื่อถึงฝั่งนี้กลับเป็นของที่เขาไม่เคยพบเห็น
เมื่อออกมาหนานกงเย่ก็มองไปทางกล่องที่วางรวมกันอยู่ด้านนอก ซึ่งมีทั้งกล่องเล็กใหญ่กว่าสิบใบ
ในลานกว้างยังมีผู้คนกลุ่มหนึ่ง เพียงแต่กล่องเหล่านี้ได้สร้างความแปลกใจให้พวกเขาอย่างมาก อีกทั้งเทปที่แปะอยู่ด้านบนก็นำพาความประหลาดใจให้แก่พวกเขาไม่น้อย ผู้ใดจะกล้าเดินเข้าไปเล่า เมื่ออาอวี่ได้ยินบทสนทนาระหว่างท่านอ๋องและพระชายา จึงรู้สึกดีใจไม่น้อย เขาไม่อยากเข้าไปรบกวนแต่อย่างใด
หนานกงเย่เดินออกมา อาอวี่เดินขึ้นหน้าไปทำความเคารพ
หนานกงเย่ย้ายกล่องเข้ามาในห้อง โชคดีที่ห้องนั้นมีขนาดใหญ่ จึงจุได้เพียงพอ
เดิมทีอาอวี่ตั้งใจจะมาช่วย แต่ตกดึกเขาไม่กล้าเข้ามาในห้อง หนานกงเย่เองก็ไม่อนุญาตให้เขาเข้ามาวุ่นวายด้วย
สิ่งของที่อยู่ในกล่องนั้นดูท่าทางจะเป็นของล้ำค่าสำหรับหนานกงเย่อย่างมาก เขาแตะต้องได้ คนอื่น ๆ แม้แต่อาอวี่ไม่สามารถเข้ามาวุ่นวายได้ตามใจชอบ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ