หนานกงเย่ซึ่งยืนอยู่ตรงด้านของหน้าต่างไม่ไกลนักรู้สึกได้ว่าคนข้างหลังลุกขึ้นนั่งแล้วหันกลับไปเห็นว่าคนผู้นั้นนั่งอยู่ราวกับว่าไม่เป็นไรแล้ว หนานกงเย่เดินสองสามก้าวไปตรงหน้าของฉีเฟยอวิ๋นจากนั้นนั่งลงแล้วกอดคนเอาไว้
อวิ๋นจิ่นเงยหน้าขึ้นมองและอดหน้าแดงไม่ได้แล้วรีบเช็ดน้ำตาและถามฉีเฟยอวิ๋น: “นายท่าน ท่านฟื้นแล้ว?”
“อืม เจ้าร้องห่มร้องไห้เช่นนี้ข้าอยากนอนก็นอนไม่หลับ แล้วท่านก็ด้วยท่านกอดข้าไว้แน่นเช่นนี้ต้องการรัดข้าให้ตายหรือ?” ฉีเฟยอวิ๋นมองไปยังหนานกงเย่ด้วยความโมโห
หนานกงเย่ไม่สนใจสิ่งอื่นกุมมือของฉีเฟยอวิ๋นเอาไว้แน่น
“อย่าได้ทำเช่นนี้อีก” หนานกงเย่หวาดกลัวซะแล้ว!
เด็กๆนั้นไม่ลืมตาขึ้นมาเลยสักคนราวกับว่าทั้งหกคนในครอบครัวได้ปรึกษากันเอาไว้แล้วว่าผู้ใดก็ห้ามลืมตา เขามีความกังวลยิ่งนัก
ฉีเฟยอวิ๋นไม่ตอบสนอง ในสถานการณ์พิเศษนั้นก็ต้องปฏิบัติด้วยความพิเศษเป็นธรรมดา แม้ว่านางไม่แน่ใจว่าเนื่องจากเหตุใดแต่เลือดของนางไม่ต้องการช่วยชีวิตสวีกงกงในจุดนี้นางนั้นสัมผัสได้
ฉีเฟยอวิ๋นต้องการช่วยชีวิตผู้คนจึงได้ร้อนใจ ที่จริงแล้วใจเย็นลงค่อยๆคิด หากในเวลานั้นนางพยายามครุ่นคิดก็ช่วยชีวิตสวีกงกงให้รอดได้
ตั้งแต่เช้าก็ลืมสถานการณ์ของตัวเองไปแล้วช่างสับสนวุ่นวายจริงๆ!
ฉีเฟยอวิ๋นไม่สนใจหนานกงเย่แต่มองไปยังอวิ๋นจิ่น: "เจ้าอย่าได้ร้องไห้อีกเลย ท่านพ่อของข้ารู้เรื่องนี้หรือไม่?"
“ท่านแม่ทัพรู้ เขาอยู่ที่อันกั๋วจิ้วนั่น” อวิ๋นจิ่นตอบพร้อมกับปาดน้ำตา
ฉีเฟยอวิ๋นถามว่า: “แล้วสวีกงกงหล่ะ เป็นเช่นไรบ้าง?”
“สวีกงกงอยู่อีกห้องหนึ่ง” อวิ๋นจิ่นตอบกลับ ส่วนฉีเฟนอวิ๋นนั้นได้ลุกขึ้นมาจากอ้อมแขนของหนานกงเย่แล้วคลุมเสื้อตัวหนึ่งจากนั้นฉีเฟยอวิ๋นก็เดินจากไป หนานกงเย่จากด้านหลังนั้นก็ไม่สามารถหยุดรั้งเอาไว้ได้
ออกไปประตูไปแล้วฉีเฟยอวิ๋นก็ไปยังที่พักของสวีกงกง เดิมทีสวีกงกงไม่ได้อาศัยอยู่ในเรือนจวินจื่อ แต่เรื่องที่เกิดขึ้นครานี้สวีกงกงต้องรักษาอาการป่วยเป็นสิ่งสำคัญ หนานกงเย่สั่งการให้จัดการเรือนจวินจื่อ เรือนที่พักอยู่นั้นห่างจากพวกฉีเฟยอวิ๋นไกลไปหน่อยซึ่งอยู่ด้านหนึ่งของเรือนด้านข้าง
ฉีเฟยอวิ๋นไปยังด้านหน้าของประตูเรือนเห็นลี่ว์หลิ่วเข้า ลี่ว์หลิ่วรีบย่อกายถวายความเคารพ: "พระชายาท่านหายแล้วหรือเพคะ?"
“อืม แล้วสวีกงกงหล่ะ? เป็นเช่นไรบ้าง?” ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวพร้อมผลักประตูเข้าไปด้วยแล้ว
ลี่ว์หลิ่วรีบเดินตามเข้าประตูไปและกล่าวว่า: "สวีกงกงตื่นขึ้นมาหลายครั้งแล้ว บาดแผลสมานกันได้รวดเร็วเพียงแต่ว่าตัวคนนั้นยังลุกไม่ขึ้น แต่บ่นถึงพระชายาสองสามครั้ง ถามว่าพระชายาเป็นเช่นไรบ้างอยู่อย่างนั้น?"
ลี่ว์หลิ่วรู้ว่าสวีกงกงเป็นห่วงฉีเฟยอวิ๋นจึงได้ถามซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ฉีเฟยอวิ๋นเข้าประตูไปแล้วถอดเสื้อคลุมยื่นให้กับลี่ว์หลิ่วจากนั้นเดินเข้าไปดูสวีกงกง
ห้องคล้ายกับทางฝั่งของฉีเฟยอวิ๋นเข้าประตูต้องเปลี่ยนรองเท้า ฉีเฟยอวิ๋นสวมถุงเท้าเข้าไป สวีกงกงนั้นนอนอยู่ในนั้นซึ่งบนพื้นนั้นร้อน และหงเถาก็กำลังดูแลอยู่ภายในห้อง
“พระชายา” หงเถาลุกขึ้นย่อกายถวายความเคารพ
ฉีเฟยอวิ๋นเดินไปนั่งลงยังข้างกายสวีกงกง: "กงกงตื่นแล้วหรือ?"
สวีกงกงมองไปยังฉีเฟยอวิ๋นด้วยน้ำตาอันเอ่อล้น: "อาศัยบารมีข้าน้อยยังมีชีวิตอยู่"
"มีชีวิตอยู่ก็ดี ไม่ว่าจะเกิดเรื่องใดขึ้นยังมีชีวิตอยู่เป็นเรื่องดี"
ฉีเฟยอวิ๋นตรวจดูอาการสวีกงกงใหม่อีกครั้งแล้วสวีกงกงก็ถามว่า: "พระชายา ร่างกายท่านดีขึ้นบ้างหรือยังพะย่ะค่ะ?"
สวีกงกงนั้นอายุมากแล้วและเข้าใจเรื่องราวมากมาย
ให้คนออกไปเพื่อให้เขาดื่มเลือดก็เพราะกลัวว่าคนจะรู้ว่าเลือดของพระชายาสามารถช่วยชีวิตคนได้ หากเกิดเรื่องผิดพลาดเกรงว่าผู้คนภายนอกจะจดจ้อง แต่ว่าให้เขาดื่มเลือดมากเช่นนั้นเขาก็รู้สึกว่าร่างกายของเขากำลังดีขึ้น แต่ก่อนนั้นเป็นหวัดปวดศีรษะใช้เวลากว่าสิบวันครึ่งเดือนกว่าจึงจะหาย แต่คราวนี้ดีขึ้นเร็วนัก ส่วนแผลก็เกือบจะสมานกันดีแล้ว
แผลถูกฟันนั้นสามารถเอาชีวิตได้ ใช่ว่าจะหายได้ง่ายดายเช่นนั้น
สวีกงกงรู้ว่านี่เป็นความผิดมหันต์ไม่สามารถกล่าวและกล่าวออกมาไม่ได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ