ฉีเฟยอวิ๋นมาที่พระตำหนักเฉาเฟิ่งกับหนานกงเย่ ไห่กงกงกราบทูลให้ทั้งสองเข้าเฝ้าพร้อมกันได้เลย
“หม่อมฉันถวายบังคมเสด็จแม่เพคะ”ฉีเฟยอวิ๋นทำความเคารพพร้อมกับหนานกงเย่
ครั้งนี้พระพันปีเห็นพวกเขาก็เกิดความโมโห กล่าวว่า“พอแล้ว ขึ้นมาเถิด ดูเจ้าเด็กน้อยนี่สิว่าเป็นอะไร ตั้งแต่เมื่อคืนก็เป็นเช่นนี้แล้ว หมอหลวงมาแล้ว ก็ดูไม่ออกว่าสาเหตุมาจากอะไร”
พอฉีเฟยอวิ๋นได้ยินว่าเกิดเรื่องกับลูกชาย ก็เร่งฝีเท้าเดินขึ้นไป
ถึงตรงหน้าของพระพันปีฉีเฟยอวิ๋นจึงได้ถอนสายบัว และอุ้มลูกน้อยขึ้น
เมื่อเจ้าห้าอยู่ในอ้อมกอดของแม่ตนเอง ก็ได้เบิกตาลืมขึ้นมามอง ฉีเฟยอวิ๋นจับแมะคลำชีพจร ก็ไม่สามารถแมะเจอสิ่งใดเลย ฉีเฟยอวิ๋นรู้เลยว่าลูกของตนกลั่นแกล้ง เลยไม่ได้พูดอะไร จำใจต้องพูดว่าเป็นโรคเก่าของเขา
“โรคเก่าหรือ?”พระพันปีกล่าวด้วยความแปลกใจอีกว่า“เหตุใดเมื่อวานไม่ได้ยินว่าเขามีโรคเก่าด้วย!”
“พอไม่มีความสุขก็จะกลั่นแกล้งมีอารมณ์ หลังจากนั้นก็มิสนใจผู้ใดเพคะ “ฉีเฟยอวิ๋นได้ตอบตามความจริง
เดิมพระพันปีอยากจะเอาหลานน้อยไว้ ตอนนี้เห็นเป็นเช่นนี้ก็ไร้หนทางที่จะเอาไว้แล้ว
“ข้าตกใจหมดเลย เช่นนี้ก็กลับกันไปเถิด”
พระพันปีก็เหนื่อยแล้ว ถูกทำให้ตกใจตั้งแต่เช้า เลยโบกมือเพื่อแสดงเจตนารมณ์ว่ากลับกันได้แล้ว จากนั้นได้หมุนตัวไปหวีผมแต่งตัว
ฉีเฟยอวิ๋นคล้ายดั่งรู้สึกผ่อนคลายลง เลยอุ้มลูกน้อยกลับไป
พอออกมาจากพระราชวังฉีเฟยอวิ๋นได้นั่งบนรถม้า เจ้าห้าก็ได้เบิกตาขึ้นมอง มือน้อยๆได้นำปิ่นสีชาดที่อยู่ในมือมอบแก่ฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นเห็นปิ่นสีชาดก็ชะงักงัน เธอหยิบมาใบหน้าเต็มไปด้วยความตื้นตัน ก้มศีรษะจูบสัมผัสลูกน้อย เจ้าห้ามีความพึงพอใจอย่างมาก แววตาอบอุ่นขึ้นมามากพอสมควร ก็มีเพียงกับฉีเฟยอวิ๋นที่จะสามารถทำให้เขามีแววตาเช่นนี้ได้
หนานกงเย่อิงแอบอยู่อีกด้านคิดไม่ถึงเลยว่าจะไร้ชีวิตจิตใจ ความรู้สึกเขาก็คือศิลปะทางอารมณ์สุนทรีอย่างหนึ่ง
ฉีเฟยอวิ๋นเก็บปิ่นสีชาดไว้ แล้วก็อุ้มลูกชายตัวน้อยเล่นอย่างสนุกสนาน
หนานกงเย่ถามเกี่ยวกับเรื่องของมู่เหมียนไม่กี่ประโยค ฉีเฟยอวิ๋นเห็นเขาโกรธ เลยขี้เกียจที่จะพูดคุยอะไรกับเขา
พอกลับมาถึงจวนอ๋องเย่ฉีเฟยอวิ๋นได้ออกตัวไปพักผ่อนก่อน
ตื่นมาก็เข้าช่วงเที่ยงแล้ว หนานกงเย่ออกไปตั้งนานแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นเล่นกับลูกๆอยู่สักพักหนึ่ง ออกมาจากเรือนจวินจื่อแล้วได้กลับไปที่สวนดอกกล้วยไม้
จนตกถึงตอนเย็นหนานกงเย่ก็ยังไม่กลับมา ฉีเฟยอวิ๋นมีความรู้สึกที่นั่งอยู่ไม่ติด
“อาอวี่ ออกไปเดินเป็นเพื่อนข้าหน่อย”ฉีเฟยอวิ๋นออกมาจากจวนอ๋องเย่แล้วไปเดินบนท้องถนน
ฟ้ามืดเมืองหลวงมีความคึกครื้น ทุกครัวเรือนมีคนเข้าออก แม้แต่ถนนก็เริ่มพลุกพล่านแล้ว
เกิดในเมืองหลวงก็เป็นเช่นนี้ เมื่อเทียบกันแล้วเหล่าอาณาประชาราษฎร์ที่อยู่ในเมืองหลวงจะไม่ความสนุกครึกครื้นในชีวิตประจำวันมากกว่าด้านนอก
ฉีเฟยอวิ๋นกับอาอวี่เดินผ่านฝูงชน เพื่อไปจวนกั๋วกง
ประตูหน้าจวนกั๋วกงเต็มไปด้วยการจราจรติดขัดรถม้าวิ่งขวักไขว่ กล่องแต่ละกล่องได้บรรจุวางบนรถม้าเรียบร้อยแล้ว คนของจวนกั๋วกงยืนสิ้นหวังที่ประตู บางคนกำลังดูความตื่นเต้นคึกครื้น แต่ส่วนใหญ่ก็ถูกไล่แตกกระเจิงกัน
อาอวี่กล่าวด้วยเสียงแผ่วเบาว่า“ทรัพย์สินฐานะของจวนกั๋วกงมั่งคั่ง บนรายงานกล่าวว่า ค่ำคืนนี้สิบรถม้า ตอนเช้ายังมีสิบรถม้าด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ฉีเฟยอวิ๋นชำเลืองมองอาอวี่ และมองไปทางหน้าประตูจวนกั๋วจิ้ว
รถม้าสิบคันขบวนออกไป ทิศทางคือท้องพระคลังนั่นเอง
รถม้าเคลื่อนตัวออกไปและมีทหารร่วมเดินทางไปด้วยส่วนหนึ่ง เมื่อเดินหันเข้าไปด้านหน้าและส่องเข้าไปภายในจวนกั๋วจิ้วได้มีเสียงคร่ำครวญพยาบาทดังสนั่น โดยเฉพาะหญิงจำนวนหนึ่ง กำลังนั่งร่ำไห้อยู่ทางด้านใน คล้ายดั่งฟ้าล่วงหล่นลงมา
“ไปเถิด”มองดูแล้วฉีเฟยอวิ๋นก็ไป ตอนที่เดินทางได้พบรถม้าของราชครูจวิน เดิมทีเธออยากจะแอบ แต่เพิ่งผ่านเธอก็ได้ถูกคนในรถม้าเรียกไว้ ฉีเฟยอวิ๋นหมุนตัวมองคนที่กำลังออกมาจากรถม้ามิใช่ราชครูจวิน ยังจะมีผู้ใดหรือ?
ฉีเฟยอวิ๋นเดินไปถอนสายบัวให้ราชครูจวินเยี่ยงคนมีมารยาท จากนั้นกล่าวว่า“ราชครู”
“พระชายาเย่จะไปที่แห่งใดหรือ?”ราชครูจวินถามเธอ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ