โจวไท่แต่งกายอย่างงดงามและดูโดดเด่นยิ่งกว่าหนานกงเย่ ฉีเฟยอวิ๋นสังเกตอย่างละเอียดและเห็นว่าเสื้อผ้านั้นเป็นเสื้อผ้าจากร้านเสื้อผ้าทั้งสามของพวกเขา นั่นก็คือเขาเป็นลูกค้าคนหนึ่ง
ลูกค้าคือพระเจ้า นั่นแปลว่าจะต้องมีผลพลอยได้จากพระเจ้า
เมื่อเข้ามาข้างในโจวไท่ก็ด่าทอทันทีว่า “ใครที่มันไม่อยากจะมีชีวิตอยู่จึงกล้ามาจับข้า ข้าเป็นถึงหลานแท้ๆ ของอาลักษณ์อาวุโสโจว ไม่อยากมีชีวิตแล้วรึ!"
เวยฉือเกลียดเจ้าหนุ่มนี่เข้ากระดูกดำ ตอนที่เข้าจับกุมมีอยู่สี่ห้าคนที่จับไม่ได้ ไม่คิดว่าคนผู้นี้จะเป็นคนที่มีพละกำลังมหาศาล
เพื่อหลบหนีเขาได้เคลื่อนย้ายก้อนหินขนาดใหญ่จนเกือบจะกระแทกใส่เขา ในตอนนั้นเขารายงานว่าตระกูลของเขาคือข้าหลวงประจำเมืองหลวง แต่กลายเป็นว่าเจ้าคนเลวผู้นี้ไม่นึกกลัวเกรงเลย ทั้งยังตะโกนว่าที่ถูกตีแตกคือเจ้า เวยฉือจะไม่โกรธได้อย่างไร
เวยฉือที่อยู่ด้านหลังออกแรงถีบที่ขา โจวไท่ที่ยืนไม่มั่นคงล้มลงไปคุกเข่าเสียงดังปึก คนที่อยู่สองฝั่งต่างถือไม้กระบองเอาไว้และฟาดลงไปก่อนสองสามทีเพื่อระบายความโกรธของผู้เป็นนาย
เวยฉือเดินไปรายงานให้ฉีเฟยอวิ๋นทราบ “เรียนพระชายาเย่ โจวอวิ๋นหลงถูกนำตัวมาขอรับ”
เวยฉือบอกว่าจับมาผิดคน มันจะเป็นอย่างไรได้อีก
ฉีเฟยอวิ๋นหันไปมอง ยังไม่ทันที่นางจะพูดอะไร โจวไท่ที่อยู่บนพื้นก็เงยหน้าขึ้นมาอย่างฉับพลัน เขามองด้วยดวงตาเป็นประกายกร้าวราวกับเสือดาวที่พ่นเปลวไฟออกมา
“ฉีเฟยอวิ๋น นั่นท่านหรือ”
หนานกงเย่กระชับมือแน่น แววตาของเขาหรี่แสงลงและสีหนาก็เย็นชาขึ้นทันควัน
ฉีเฟยอวิ๋นไม่รอให้หนานกงเย่พูดอะไรและดึงมือของหนานกงเย่ไว้ แม้ว่าหนานกงเย่จะไม่พูดอะไร แต่สายตาที่มองโจวไท่กลับคมกริบราวกับคมมีด
ฉีเฟยอวิ๋นฉีกยิ้มหวาน “ใช่แล้ว ข้าเอง ท่านก็มีวันนี้ด้วยหรือ”
“ฉีเฟยอวิ๋น ท่านจงใจจับข้างั้นหรือ” โจวไท่จ้องฉีเฟยอวิ๋นเขม็ง เขาโกรธและคิดจะลุกขึ้นยืน ทว่าคนที่ถือกระบองอยู่ข้างหลังทำให้เขาล้มไปหมอบอยู่บนพื้น
ฉีเฟยอวิ๋นเยือกเย็นขึ้น และจิตสังหารก็ปรากฏขึ้นในแววตาของนาง
โจวไท่กัดฟันกรอด “ฉีเฟยอวิ๋น ตอนนั้นท่านใช้หินทุบหัวข้า ทำร้ายจนข้าแทบตายและลุกจากเตียงไม่ได้เป็นเดือน ตอนนี้ที่หัวยังมีรอยแผลเป็นให้เห็น ข้าไม่ได้ตามหาท่าน แต่กลับเป็นท่านที่ตามหาข้าจนเจอ”
การที่โจวไท่พูดออกมาด้วยตัวเองเช่นนี้ช่วยลดขั้นตอนให้ฉีเฟยอวิ๋น
“คนแซ่โจว ข้าขอถามท่าน ท่านพาคนกลุ่มหนึ่งไปสกัดกั้นผู้หญิงคนหนึ่งใช่หรือไม่ ทั้งยังคิดจะใช้นางขวางคนนับสิบจากการเข้าเรือนหอ ท่านบอกว่ารอให้ท่านพ่อของนางกลับมา ท่านจะแต่งงานกับนาง ตอนนี้ขอฉวยมาเล่นก่อน เลยถือโอกาสนำตัวกลับไปที่จวนเพื่อไปเป็นนางบำเรอของท่าน?”
ทั้งห้องเต็มไปด้วยความประหลาดใจเมื่อฉีเฟยอวิ๋นพูดออกมาเช่นนี้
หนานกงเย่คอแข็งราวกับท่อนไม้และบิดจนเกิดเสียงดังกร็อบเมื่อหันไปมองฉีเฟยอวิ๋น
หากไม่ใช่คนโง่จนเกินไปย่อมต้องฟังออกว่าผู้หญิงคนนั้นคือฉีเฟยอวิ๋น
แต่หนานกงเย่ไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน
ฉีเฟยอวิ๋นมองโจวไท่ที่หมอบอยู่บนพื้นด้วยสีหน้าเฉยเมย โจวไท่ที่ได้ใจเป็นอย่างมากหัวเราะขึ้นมาเสียงดังลั่น “ที่แท้พระชายาเย่ก็จำได้ข้าน้อยได้ ไม่มีปัญหา ขอเพียงแค่พระชายาเย่เข้ามาประคองคุณชายเช่นข้าให้ลุกขึ้นและพูดกับที่รักอย่างข้าดีๆ อีกที ข้าจะปรนนิบัติท่านอย่างดีเลยทีเดียว”
เวยฉือไม่กล้าแม้แต่จะหายใจดัง เจ้าหมอนี่วอนหาที่ตายงั้นหรือ
เวยฉือถอยหลังไปสองก้าวโดยไม่รู้ตัว
หนานกงเย่ปล่อยมือฉีเฟยอวิ๋นและก้าวลงมาจากเวที เขาก้าวอย่างเชื่องช้าไปอยู่ตรงหน้าโจวไท่ เอ่ยอย่างเยียบเย็นว่า “ปล่อยเขา”
โจวไท่ไม่เคยเจอกับหนานกงเย่มาก่อน แม้ว่าเขาจะเคยได้ยินเกี่ยวกับหนานกงเย่แต่ก็ยังไม่เคยเห็นตัวจริง
แต่ไหนแต่ไรเขาไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้เลย เขาสนใจเพียงแต่การเล่นสนุกกับสตรี
ทุกๆ วันโจวไท่ไปแต่สถานที่เริงรมย์ ผู้หญิงที่อยู่ในเรือนก็มีอยู่นับไม่ถ้วน
ว่ากันว่าไม่มีการขู่บังคับเอาตัวผู้หญิงมา แต่ในเรือนของเขากลับมีคนถูกเฆี่ยนตีจนตายมิใช่น้อย
โจวไท่คิดว่าเป็นความกลัว เขาลุกขึ้นและผลักสองคนที่อยู่ข้างๆ ออกไป ถลกแขนเสื้อขึ้นและมองหนานกงเย่ ยิ้มอย่างเหยียดหยาม “ใต้เท้าคือ?”
“ในที่สุดวันนี้ข้าก็ได้เห็นเสียที ว่าแต่พระชายาของข้ายังต้องเรียกใครอื่นว่าที่รักด้วยหรือ” สีหน้าของหนานกงเย่เย็นชาอย่างยิ่งยวด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ