ในปีที่สองร้อยสิบสองของเมืองต้าเหลียง อุปราชหนานกงเย่โจมตีและบุกยึดแคว้นเฟิ่ง สังหารผู้คนในพระราชวังเฟิ่งไปมากกว่าพันคน ว่ากันว่าเลือดในพระราชวังเฟิ่งไหลเป็นสายน้ำ ฝนตกหนักติดต่อกันสามวันสามคืน เมื่อฝนหยุด กลิ่นคาวเลือดจากพระราชวังเฟิ่งก็ลอยออกไปไกลเป็นร้อยลี้
แคว้นเฟิ่งสูญสิ้นเอกราชตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา!
หนึ่งเดือนให้หลังเมืองต้าเหลียงเปลี่ยนชื่อเป็นแคว้นเหลียง แผ่นดินรวมเป็นปึกแผ่น
อุปราชได้รับพระราชทานยศเป็นมหาอุปราช กลายเป็นที่กล่าวขานไปทั่วหล้า!
ทว่าอีกหนึ่งเดือนต่อมาก็ต้องคำนึงถึงภรรยาที่ล้มป่วยและไม่ได้เข้าราชสำนัก อาการของนางไม่ดีขึ้นเลยกว่าครึ่งเดือน ร่างกายทุกข์ทรมานจนอาเจียนออกมาเป็นเลือด
จักรพรรดิเหยี่ยนตี้ประกาศหาแพทย์ที่มีชื่อเสียงจากทั่วโลกมารักษา สุดท้ายอาการก็ไม่ดีขึ้น ประชาชนมีความสุข พี่น้องผูกพันกลมเกลียว
ครึ่งปีหลังจากนั้น องค์หญิงใหญ่อภิเษกกับมู่จวิ้นอ๋องบุตรบุญธรรมของมหาอุปราชและกลายเป็นเรื่องดี
มหาอุปราชมีบุตรชายห้าคนบุตรสาวหนึ่งคน ได้พระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นองค์ชายและองค์หญิง
หนึ่งปีให้หลังหวังฮวายอันสมรสกับสตรีจากแคว้นอื่น ได้ยินมาว่าเสี่ยวเฉียวจวิ้นจู่ซึ่งเป็นธิดาบุญธรรมของมหาอุปราชช่วยชีวิตเสี่ยวกั๋วจิ้ว เสี่ยวกั๋วจิ้วพบผู้หญิงแบบเสี่ยวเฉียวและแต่งงานกับนาง
ปีถัดมา หนานกงจื่ออี้โอรสคนโตของมหาอุปราชอภิเษกกับเหว่ยหลิงเอ๋อร์ บุตรสาวของจงลิ่งแห่งศาลพิเศษกลาง หลังจากอภิเษกจึงย้ายจากเมืองหลวงไปยังชายแดนแถบล่าง มียศเป็นชินอ๋องคอยดูแลปีกใต้
ในปีเดียวกัน จื่อเซิ่งซึ่งเป็นโอรสคนรองของอุปราชออกจากเมืองหลวงไปยังซีอู๋ (แคว้นอู๋โยวเดิม) ได้รับพระราชทานยศเป็นชินอ๋อง
ต่อมา โอรสคนที่สามและโอรสคนที่สี่ของอุปราชออกจากเมืองหลวง มุ่งตรงไปยังตงหลิง (แคว้นหลิงอวิ๋นเดิม) และเฟิ่งหนาน (แคว้นเฟิ่งเดิม) ดำรงตำแหน่งเป็นชินอ๋อง
ตั้งแต่นั้นมาโลกก็ปราศจากสงครามไปอีกหลายร้อยปี
สามปีต่อมา
จักรพรรดิเหยี่ยนตี้ทรงอุ้มโอรสคนเล็กโยกไปมา ทรงเหลือบมองฮองเฮาอวิ๋นหลัวฉวนซึ่งยังเหนื่อยล้าและตรัสอย่างกังวลว่า “เมื่อไม่กี่วันก่อนอ๋องเย่เข้าวัง บอกกับข้าว่าเขาอยากจะให้จื่ออี้กลับมา ทั้งยังบอกด้วยว่าอยากจะให้ลูกไปปีกใต้ หลายวันมานี้ข้าจึงกินไม่ได้นอนไม่หลับ ทำไมจะต้องเป็นโอรส ข้าควรทำอย่างไรดี”
เวลานี้อวิ๋นหลัวฉวนยังอ่อนเพลียอยู่เล็กน้อยเพราะเพิ่งให้กำเนิดองค์ชาย
นางเหลือบมองจักรพรรดิเหยี่ยนตี้ “เขาคงอยากจะให้ลูกๆ ทุกคนกลับมาอยู่ข้างกาย ตอนนั้นฝ่าบาททรงสัญญาไว้แล้ว ว่าถ้าหากให้กำเนิดโอรส จะเรียกตำแหน่งกลับคืนและให้โอรสของพระองค์ไปแทน”
“ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าจะให้กำเนิดโอรสถึงสี่คนในสามปีจริงๆ นี่มันดีเกินกว่าที่คิด ถ้ารู้แต่แรกข้าคงไม่พูดออกไป เหตุผลประการแรกคือเมื่อพวกเขากลับมาข้าไม่รู้ว่าจัดตำแหน่งให้อย่างไร ประการที่สอง ข้าเองก็ไม่อยากจะส่งลูกไปอยู่ไกลตัวเหมือนกัน ข้าออกจากวังไปหาพวกเขาไม่ได้
ชินอ๋องโอรสของมหาอุปราชกลับมาเยี่ยมเยียนเมืองหลวงทุกปีและมาได้ทุกเมื่อ แต่หากโอรสของข้าจากไป จะได้กลับมาเมื่อใดก็ยังมองไม่เห็นอนาคต หากข้าไม่มีพระราชโองการ พวกเขาจะกลับมาได้อย่างไร”
จักรพรรดิเหยี่ยนตี้มีพระชนมพรรษาสามสิบปีเศษ นับว่ายังทรงพระเยาว์นัก แต่พระองค์กังวลว่าเหล่าโอรสจะถูกส่งตัวไปและมักจะหนักพระทัยอยู่เสมอ
อวิ๋นหลัวฉวนมองดูอยู่ครู่หนึ่งและเหนื่อยเกินกว่าจะพูดอะไร นางหลับตาลงและถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะกล่าวว่า “แต่เขาเดียวดายเกินไป แม้ว่าเสี่ยวเฉียวและเสี่ยวอวิ๋นจะอยู่เมืองหลวง เจ้าห้าเองก็ไม่ได้ไปไหน แต่ถึงอย่างไรเขาก็ขาดท่านพี่คอยเคียงข้าง ตลอดหลายปีมานี้เขาตามหาท่านพี่ไม่พบ ถ้าฝ่าบาทยังวางแผนร้ายกับเขาเช่นนี้อีก เขาก็น่าสงสารจริงๆ
เขาเป็นผู้มอบโลกใบนี้ให้ฝ่าบาท เพื่อพิชิตโลกเขาจึงหาท่านพี่ไม่พบ ฝ่าบาทไม่มีคุณธรรมบ้างเลยหรือเพคะ
เพื่อโลกใบนี้ เขายอมอุทิศทั้งโอรสธิดาและภรรยา เวลานี้โอรสของฝ่าบาทถือกำเนิดแล้วแต่กลับคิดจะเก็บไว้ข้างกาย”
“ข้ารู้แล้ว รอให้โตอีกนิดจะส่งไป อย่างนี้ล่ะได้หรือไม่” แม้ว่าจักรพรรดิเหยี่ยนตี้จะไม่เต็มใจ แต่เมื่อคิดดูแล้วนางก็พูดถูก ดังนั้นจึงรีบรับปาก
อวิ๋นหลัวฉวนถอนหายใจ “ท่านพี่ก็ไม่รู้ว่าไปอยู่แห่งหนใด ถ้าหาเจอตั้งแต่แรกก็คงจะดี แต่ถ้าหาไม่เจอขึ้นมาล่ะจะทำอย่างไร”
“ไม่มีทางหาไม่เจอ ตอนนี้เสี่ยวอวิ๋นกับเจ้าห้ากำลังตามหาอยู่ จื่ออี้และคนอื่นๆ ก็กำลังตามหาอยู่ โลกนี้กว้างใหญ่นัก ต่อให้ขุดดินหาก็ต้องขุด”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ