ในสายตาคนอื่นนั่นคือเกียรติอันยิ่งใหญ่
แต่ในสายตาของหนานกงเย่ มันคือความปลิ้นปล้อนของจักรพรรดิเหยี่ยนตี้!
พระองค์ไม่เต็มใจจะส่งโอรสของตัวเองไปจึงให้เขาส่งลูกชายของเขาไป ในตอนที่ลูกชายของเขาไปปกครองยังสถานที่ต่างๆ เขาตั้งตารอคอยให้จักรพรรดิเหยี่ยนตี้ให้กำเนิดโอรสทุกวัน จะได้ให้โอรสของพระองค์ไปปกครองยังที่นั้นๆ
ตอนนี้จักรพรรดิเหยี่ยนตี้มีโอรสสี่ห้าพระองค์แล้ว ในที่สุดก็ถึงวันที่เขารอคอย ลองดูสิว่าคราวนี้จะมีข้อแก้ตัวอะไรอีก
ถ้าองค์หญิงไม่ไปอามู่ก็คงต้องไป เขาจำเป็นต้องให้องค์หญิงไปและทำให้จักรพรรดิเหยี่ยนตี้ไม่สบายพระทัย
ฉีเฟยอวิ๋นเอื้อมมือไปลูบไล้ใบหน้าของหนานกงเย่ หนานกงเย่หันกลับมาและจับมือฉีเฟยอวิ๋น สายตาของทั้งคู่สอดประสานกัน หนานกงเย่กอดฉีเฟยอวิ๋นไว้ “คิดว่าจะไม่ได้เจอกันอีกเสียแล้ว คิดว่าข้าจะได้พบกับอวิ๋นอวิ๋นอีกครั้งก็ต่อเมื่อข้าตายไปแล้วเท่านั้น”
ฉีเฟยอวิ๋นขบขัน “ใครบอก ที่นั่นไม่มีสารพันธุกรรมเหลือแล้ว อะไรก็ไม่เหลือเลย ข้าจะกลับไปได้อย่างไร และต่อให้ท่านอ๋องสิ้นพระชนม์ก็ไปหาข้าที่นั่นไม่ได้อยู่ดี ท่านอ๋องโง่หรือเปล่า”
“.....” หนานกงเย่ผละออกและมองฉีเฟยอวิ๋น
“ท่านอ๋อง ข้าจะตรวจร่างกายให้นะ”
นั่นเองหนานกงเย่จึงดึงมือของฉีเฟยอวิ๋นเข้าไปใกล้รถเข็น ฉีเฟยอวิ๋นจับมือหนานกงเย่และเริ่มตรวจอาการ
หนานกงเย่มองฉีเฟยอวิ๋น “ท่านยังมี...”
ฉีเฟยอวิ๋นชายตามอง “ยังมีสิเพคะ ระบบนี้จะอยู่กับข้าตลอดไป แน่นอนว่ากับเจ้าห้าก็เช่นกัน ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมลูกๆ คนอื่นจึงไม่มีนั้น จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้
ข้าไม่ได้ใช้มาหลายปีเพราะไม่อยากทำลายสิ่งแวดล้อมชีวกายภาพ”
“สิ่งแวดล้อมชีวกายภาพ?” หนานกงเย่ยังไม่คุ้นเคยกับคำแปลกๆ เขาไม่รู้เลยว่าสิ่งแวดล้อมชีวกายภาพเป็นอย่างไร
ฉีเฟยอวิ๋นอธิบายว่า “ก็คือการทำลายสิ่งที่มีมาแต่แรกเริ่มน่ะ อย่างเช่นภูเขาแม่น้ำ ต้นไม้ดอกไม้
การเกิดและการตายคือสิ่งที่สวรรค์กำหนด ข้าไม่อยากแทรกแซง ข้าเป็นเช่นนี้กับคนอื่นๆ
แต่ข้าอยากจะมีชีวิตอยู่ต่ออีกหลายๆ ปี อยากใช้ชีวิตดีๆ ร่วมกับท่านอ๋อง”
หนานกงเย่ไม่พูดอะไร ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นและหยิบมีดขึ้นมากรีดที่ข้อมือ จากนั้นจึงยื่นข้อมือไปตรงหน้าหนานกงเย่ หนานกงเย่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะดึงข้อมือของฉีเฟยอวิ๋นเข้าหาและดูดเลือดของนาง
ฉีเฟยอวิ๋นยืนอยู่ตรงหน้าหนานกงเย่และโอบศีรษะของเขาไว้
ภายในห้องเงียบสงัด เส้นผมของหนานกงเย่ร่วงลงสู่พื้น ผมสีขาวผลัดออกไปและแทนที่ด้วยเส้นผมสีดำนิลที่งอกขึ้นมา การฟื้นตัวเป็นไปอย่างรวดเร็วจนน่าทึ่ง
หนานกงเย่ปล่อยมือฉีเฟยอวิ๋นและก้มลงมองเส้นผมสีเงินบนพื้น จากนั้นจึงหันกลับมามองที่ไหล่ของตน
ฉีเฟยอวิ๋นก้าวถอยหลังพลางจับมือของหนานกงเย่ “ท่านลองลุกขึ้นสิ”
หนานกงเย่มองสองขาของตนเอง เขาเลิกผ้าห่มขึ้นและลุกออกจากรถเข็น เมื่อเขาก้าวเดินไปสองสามก้าวฉีเฟยอวิ๋นจึงปล่อยมือ แต่หนานกงเย่รีบคว้ามือของนางไว้ทันทีเพราะกลัวว่าฉีเฟยอวิ๋นจะทิ้งเขา
ฉีเฟยอวิ๋นขบขัน “ท่านทำอะไรน่ะ ข้าไม่หนีไปไหนหรอก”
“ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าท่านจะหนีหรือไม่หนี ก็ท่านใจร้ายขนาดนั้น” หนานกงเย่ทำหน้าโกรธๆ นางเป็นผู้หญิงใจร้าย เพราะอย่างนั้นนางจึงไม่เคยกลับมาเลย
ฉีเฟยอวิ๋นมองออกว่าหนานกงเย่กำลังคิดอะไร รู้ว่าไม่ได้คิดถึงนาง รู้ว่าไม่ได้ให้ความสำคัญกับนาง!
ฉีเฟยอวิ๋นเอ่ยอย่างโกรธเคือง “ไม่ว่าจะหนีไปไหน หัวใจของข้าก็อยู่กับท่าน แม้ว่าวิญญาณของข้าจะสลายข้าก็หนีจากเงื้อมมือท่านไม่พ้น ท่านยังมีห่วงทองอยู่ในมือ ท่านจะทิ้งเมื่อใดก็ได้ ท่านทำให้ข้าติดกับดัก เป็นท่านที่ไม่ไปตามหาข้า ตัวเองไม่มีความสามารถแล้วยังจะมาแค้นอะไรอีก
คนที่ควรจะโกรธคือข้าต่างหาก ท่านไม่ไปตามหาข้า ข้าก็ไม่ควรจะกลับมา อยู่ที่นั่นข้าทำอะไรไม่ได้ แต่ข้าก็กลับมาด้วยตัวเองมิใช่หรือ”
“ท่านกลับมาหาข้างั้นหรือ? ข้าไม่ไปตามหาท่านงั้นหรือ?” เวลานี้หนานกงเย่มีพละกำลังเต็มเปี่ยมราวกับกลับมาอายุยี่สิบอีกครั้ง เขามองฉีเฟยอวิ๋นและย่างสามขุมเข้าไปหา ฉีเฟยอวิ๋นไม่อยากจะถอยหนี ต่อให้หนานกงเย่จะแข็งแกร่งมาก ทว่าเขาจะทำอะไรนางได้
แต่ต้นกล้าที่ป่วยเมื่อครู่นี้ หลังจากดื่มเลือดไปเมื่อครู่ดูเหมือนจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน และเขาก็ก้าวเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
น่ากลัว... แม้ว่าจะไม่มีความดุร้ายเผยให้เห็นบนใบหน้า แต่ดวงตาของเขากลับน่ากลัวเหมือนจะกลืนกินคนได้ทั้งเป็น ทีละนิดๆ
ฉีเฟยอวิ๋นร่างกายบอบบางอยู่แล้ว เมื่อถูกหนานกงเย่บีบคั้นเช่นนี้นางจึงก้าวถอยหลัง
ที่ด้านหลังมีโต๊ะอยู่ตัวหนึ่ง ฉีเฟยอวิ๋นถูกกั้นไว้ตรงนั้น ขณะนี้ใบหน้าของหนานกงเย่เริ่มหล่อเหลาขึ้นเรื่อยๆ ใบหน้าที่เคยซีดขาวก่อนหน้านี้เริ่มมีสีแดงระเรื่อ และแสงสีแดงก็ปรากฏให้เห็นบนหน้าผาก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ