หลินซีตบหน้าอกด้วยความมั่นใจ “มิเป็นเช่นนั้นแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋อง ท่านอาจมิทราบว่า จริง ๆ แล้วเซี่ยหลานถูกองค์รัชทายาทคุกคามเมื่อมินานมานี้ นางต้องการแก้แค้นองค์รัชทายาทมาโดยตลอด แต่นางไม่มีความสามารถที่จะทำเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
“เยี่ยมมาก คราวนี้เราต้องวางแผนอย่างรอบคอบ เพื่อให้แน่ใจว่าจะโค่นฉินซูลงให้ตกต่ำที่สุดจนลุกขึ้นมิได้อีก!”
การแสดงออกของฉินหงดูชั่วร้ายมาก ดูอันตรายอย่างยิ่ง
ในเวลาเดียวกัน
ภายในโรงเตี๊ยมที่คณะทูตเป่ยเยี่ยนพักอยู่
มู่หรงฟู่พูดด้วยความโกรธ “ให้ตายเถอะ ข้าอยากให้ฉินซูอับอายต่อหน้าธารกำนัล มิคิดเลยว่าเขาจะหนีไปง่าย ๆ เช่นนี้”
เฉิงจืออี้ขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความงุนงงเล็กน้อย “เป็นเรื่องแปลกนักที่คนกล่าวขานกันว่า องค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียนหลงสุราเคล้านารีอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน และองค์จักรพรรดิต้าเหยียนก็ตัดสินใจปลดเขาออกหลังจากวันชุนเฟินในปีหน้า ทว่าหลังจากการเผชิญหน้าทั้งสองครั้งนี้ ไฉนกระหม่อมจึงรู้สึกว่า องค์รัชทายาทจะใกล้จะถูกปลดผู้นี้พูดจาเฉียบคมนัก มีสิ่งใดที่เขาดูเหมือนคนที่หลงสุราเคล้านารีหรือ?”
“หึ หาได้ต้องถามไม่ เขาต้องรู้ว่าตนกำลังจะถูกปลด ดังนั้นเขาจึงพยายามทำตัวให้ดีในช่วงเวลานี้ เพื่อขอความโปรดปรานจากองค์จักรพรรดิอย่างไรเล่า”
“แต่ถึงกระนั้น ข้าก็ยังรู้สึกว่า ฉินซูค่อนข้างลึกลับและไม่ง่ายอย่างที่ข่าวลือพูด”
มู่หรงฟู่โบกมือและพูดด้วยความแค้น “เรื่องของเขาเถอะ เขาควรอยู่ในหลงเฉิงไปตลอดชีวิตดีกว่า มิเช่นนั้น กระหม่อมจะฆ่าเขาด้วยมือของกระหม่อมเองทันทีที่มีโอกาส!”
“องค์ชาย เราแทบจะไม่มีโอกาสได้จัดการกับฉินซูเลย ยิ่งไปกว่านั้น องค์จักรพรรดิต้าเหยียนปฏิเสธที่จะคืนชิ่งโจว หากอยู่หลงเฉิงต่อไปก็ไร้ประโยชน์ เช่นนั้นเราจะออกเดินทางกลับเป่ยเยี่ยนเมื่อใดหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“เรามิควรรอช้าอีกต่อไป เก็บสัมภาระแล้วออกเดินทางทันที”
“ระหว่างทางกลับ ตัวข้ามักจะรู้สึกมิสบายใจ เช่นนั้น จะดีกว่าหากออกเดินทางเร็วยิ่งขึ้น จะได้หลีกเลี่ยงปัญหาที่มิจำเป็น”
หลังจากที่เฉิงจืออี้พูดจบ เขาก็สั่งให้ทุกคนเก็บสัมภาระ
ครึ่งชั่วยามต่อมา พวกเขาพร้อมด้วยผู้ติดตามได้ขึ้นรถม้าและมุ่งหน้าไปยังประตูทิศเหนือของหลงเฉิง
ทันทีที่พวกเขามาถึงประตูทิศเหนือ พวกเขาก็ถูกคนกลุ่มหนึ่งหยุดไว้
เฉิงจืออี้ขมวดคิ้วและถามด้วยน้ำเสียงเข้มว่า “พวกเจ้าหมายความเยี่ยงไร? ไปเรียกหัวหน้ามา”
ด้วยเสียงกีบม้า ชายหนุ่มรูปงามในวัยสามสิบก็ขี่ม้าออกมาจากด้านหลังกลุ่มคน
ชายผู้นี้แต่งกายด้วยชุดสีขาวบริสุทธิ์ดุจหิมะ โดยมีลวดลายของกลุ่มดาวหมีใหญ่ปักด้วยไหมสีทองที่ตรงหน้าอก
เขาแบกดาบใหญ่อยู่บนหลัง ปากคาบใบหญ้า และมีรอยแผลเป็นที่ยาวประมาณหนึ่งนิ้วบนใบหน้าของเขา
เมื่อมองแวบแรกเขาดูซุกซน
เมื่อเห็นอาภรณ์ของบุรุษผู้นี้ เฉิงจืออี้ก็ถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “เจ้ามาจากสำนักหอดูดาวหลวงหรือ?"
บุรุษหนุ่มพยักหน้าเล็กน้อย และตอบอย่างสงบ “ตู๋กูโฉ่วเยวี่ย จากสำนักหอดูดาวหลวง!"
“เจ้านั้นเอง ลูกศิษย์คนที่สามของหัวหน้าโหรหลวง ข้าได้ยินเรื่องของเจ้ามามากทีเดียว เช่นนั้นข้าขอถามได้หรือไม่ว่า เหตุใดจึงขวางทางเรา?”
“ขุนนางอาวุโสเฉิงจริงจังเกินไปแล้ว หากท่านต้องการออกไป แน่นอนว่าข้าจะมิหยุดท่าน”
“เช่นนั้นก็รีบออกไปเสีย เรากำลังรีบ”
ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยยิ้มเบา ๆ “ข้ารู้ว่าท่านกำลังรีบ แต่อย่าใจร้อนนัก ข้ายังพูดมิจบ”
เฉิงจืออี้พูดอย่างมิอดทน “หากเจ้ามีเรื่องอันใดจะพูดก็พูดมาเร็ว ๆ เข้าสิ อย่าทำให้การเดินทางของเราล่าช้า"
ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยพูดอย่างใจเย็น “ที่จริงแล้วมิได้มีเรื่องอันใดมากนักหรอก ไทฮองไทเฮาของเราเพิ่งได้ยินว่า องค์ชายจากเป่ยเยี่ยนเสด็จมาถึงแล้ว พระนางจึงประสงค์ที่จะพบและต้อนรับองค์ชายมู่หรงเป็นแขกสักสองสามวัน และพูดคุยเรื่องประเพณีที่แปลกใหม่ของเป่ยเยี่ยน”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ การแสดงออกของทุกคนในคณะทูตเป่ยเยี่ยนก็เปลี่ยนไปทันที!
เฉิงจืออี๋ถามด้วยสีหน้ามืดมน “เจ้าหมายความเยี่ยงไร? พวกเจ้าคิดจะกักขังองค์ชายห้าของเราเช่นนั้นรึ?”
ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยกอดอกอย่างมิรีบร้อนแล้วมองดูพวกเขาด้วยรอยยิ้มเยาะเย้ยจาง ๆ
เมื่อเห็นเช่นนี้ เฉิงจืออี้ก็ตำหนิว่า “พวกเจ้าตั้งใจจะกักขังองค์ชายของเราจริง ๆ ใช่หรือไม่?
“หากท่านอยากตีความเช่นนั้น ก็ถูกแล้ว”
“ได้! เช่นนั้นข้าจะไปพบจักรพรรดิต้าเหยียนของเจ้า!”
“องค์จักรพรรดิของเราทรงอยู่กับเรื่องนับมิถ้วน หากขุนนางอาวุโสเฉิงต้องการพบพระองค์ เช่นนั้นก็ได้โปรดกลับไปพักผ่อนที่โรงเตี๊ยมก่อน เมื่อพระองค์มีเวลาก็จะเรียกท่านเข้าเฝ้าเอง”
“เจ้า… เจ้ามันไร้เหตุผลนัก ไร้เหตุผลสิ้นดี!”
เฉิงจืออี้โกรธมาก แต่ก็มิอาจทำอะไรได้
มู่หรงฟู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ขุนนางอาวุโสเฉิง พาคนของเรากลับไปก่อน แล้วอธิบายเรื่องทุกอย่างให้เสด็จพ่อข้าฟัง ตัวข้ายังมิเชื่อว่าพวกต้าเหยียนจะกล้าแตะต้องข้า”
“แต่องค์ชาย...”
ก่อนที่เฉิงจืออี๋จะพูดจบ มู่หรงฟู่ก็ขัดจังหวะ “ขุนนางอาวุโสเฉิง ตอนนี้แล้วเจ้ายังมิเข้าใจอีกหรือ? ที่ต้าเหยียนต้องการตอนนี้คือ เราทุกคนอยู่ หรือข้าจะอยู่และพวกเจ้าก็กลับไป"
ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยหัวเราะเบา ๆ และพูดว่า “องค์ชายมู่หรงทรงเข้าใจทุกอย่างถี่ถ้วน คุยกับคนฉลาดย่อมสบายใจกว่า "
เฉิงจืออี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วบอกกับชายที่แข็งแกร่งคนหนึ่ง "หม่าขุย เจ้าอยู่คอยปกป้ององค์ชาย จงจำไว้ว่า แม้ว่าต้องแลกด้วยชีวิต จงทำให้แน่ใจว่าองค์ชายจะมิได้รับอันตรายใด ๆ”
หม่าขุยน้อมรับคำสั่งด้วยความเคารพ “ท่านขุนนางใหญ่โปรดวางใจ ใครก็ตามที่ต้องการทำร้ายองค์ชาย เช่นนั้นก็ข้ามศพข้าไปก่อน”
“ดี! องค์ชายดูแลตัวเองด้วยพ่ะย่ะค่ะ หลังจากที่กระหม่อมกลับไปแล้วกระหม่อมจะทูลขอองค์จักรพรรดิให้ส่งคนมารับท่านกลับโดยเร็วที่สุด”
หลังจากที่เขาพูดจบ เขาก็พูดกับตู๋กูโฉ่วเยวี่ยอย่างเย็นชา “ทูลบอกจักรพรรดิของพวกเจ้าเถิด หากแตะต้ององค์ชายของเราแม้แต่ปลายพระเกศา พวกเจ้าต้าเหยียนก็เตรียมตัวเผชิญหน้ากับความโกรธแค้นของพวกเราเป่ยเยี่ยนได้เลย!”

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียน