โชคชะตาตื้นมาก แต่ความรักนั้นลึกซึ้ง นิยาย บท 370

"ขอบคุณนะคะ ขอบคุณผู้อำนวยการหยางสำหรับการอบรม ฉันจะตั้งใจทำงานอย่างหนักและทำให้ดี ... "

เย่ตงที่กำลังจะแสดงภาพลักษณ์ที่ดีต่อการทำงานเพื่อให้หยางลิงรุ่ยปลื้มใจ แต่กลับถูกหยางหลิงรุ่ยยกมือขึ้นโบกเพื่อตัดบทเสียก่อน

“โอเค นี่ไม่ใช่การประชุมใหญ่ของบริษัท ไม่จำเป็นต้องพูดสาบานอะไรให้มากความ ขอแค่ตั้งใจทำงานทุกวัน ใช้ชีวิตให้ดีและมีความสุขเท่านั้นก็เพียงพอแล้วล่ะ”

คำพูดแสนธรรมดา ความปรารถนาอันเรียบง่าย

แต่เมื่อหยางหลิงรุ่ยพูดสิ่งเหล่านี้ออกมา ก็อดรู้สึกกดดันไม่ได้เหมือนกัน

เพราะบางครั้ง เรื่องที่คิดว่าง่ายที่สุดนั้น กลับเป็นเรื่องที่ยากมาก ๆ!

"ค่ะ... " เย่ตงพยักหน้ารับ

"ส่วนเรื่องในบริษัทนั้น เธอก็ไม่จำเป็นต้องสนใจเหมือนกัน ฉันที่มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นโดยตรงยังไม่อะไรเลย เธอก็คิดเสียว่ามันเป็นเรื่องตลกขบขันก็เแล้วกัน"

แน่นอนว่าหยางหลิงรุ่ยรู้ดีว่าที่เย่ตงก่อเรื่องเหล่านี้ขึ้นมาก็เพื่อปกป้องเธอ

แต่เธอก็รู้เช่นกันว่า ข่าวลือเรื่องอื้อฉาวเช่นนี้แม้ว่ามันจะสงบลงไปแล้วเป็นชั่วคราวแล้ว แต่ถ้าหากมีโอกาสมันจะต้องปรากฏขึ้นมาอีกเป็นครั้งที่สองแน่

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนนี้บริษัทมีตัวปัญหาใหญ่อย่างหลี่ชานชาน ที่คอยจับจ้องมองดูอยู่ตลอดเวลา

แต่ที่หยางหลิงรุ่ยไม่ได้เอาเรื่องเอาความด้วยทุกครั้งนั่น ไม่ได้หมายความว่าเธอกลัวหลี่ชานชานแต่อย่างใด

เพียงแค่คิดว่าทุกคนต่างก็เป็นเพื่อนร่วมงานในบริษัทเดียวกัน และอีกเหตุหนึ่งคือเธอถูกส่งตัวมาอีกที เพราะฉะนั้นเพื่อที่จะสามารถทำตัวกลมกลืนในแวดวงนั้นได้ เธอจะต้องอดทนเอาไว้

แต่เรื่องทุกอย่างต้องมีขอบเขตของมัน ถ้าหากไม่รู้จักจบจักสิ้นล่ะก็ หยางหลิงรุ่ยก็จะทำให้พวกเธอได้รู้ซึ้งถึงคำว่าพลังของสายฟ้า และการถูกบดถูกกดจนแตกละเอียดจากข้างในไปจนถึงข้างนอก

"ผู้อำนวยการหยางคะ คือ ฉันขอถามอะไรหน่อยได้ไหมคะ" เย่ตงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็เลือกที่จะเอ่ยถามขึ้น

หยางหลิงรุ่ยอึ้งไปเล็กน้อย เธอมองไปที่เย่ตงด้วยความรู้สึกประหลาดใจ เพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่

"ทำไมเหรอ เธอมีอะไรก็พูดออกมาเลย พวกเราต่างก็คุ้นเคยกันแล้ว ยังจำเป็นต้องปิดบังอะไรกันด้วยหรือ" คำพูดของหยางหลิงรุ่ยทำให้เย่ตงหน้าแดงขึ้นมาเล็กน้อย

เธอรีบโบกมือขึ้นแล้วพูดว่า : "เปล่า ไม่ใช่แบบนั้นค่ะ... คือว่า คนในบริษัทต่างก็พูดว่าคุณเปลี่ยนรถบ่อยมาก... แล้วก็... "

"แล้วก็บอกว่าฐานะทางการเงินของฉัน ถ้าอิงตามเงินเดือนแล้วคงจะซื้อรถหรูขนาดนั้นไม่ได้ใช่ไหม ฉะนั้นฉันก็เลยหาเสี่ยเลี้ยง ชนิดที่แบบไม่สนใจว่าผู้ชายจะแก่หรือว่าหนุ่มอย่างนั้นใช่หรือเปล่า"

หยางหลิงรุ่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม คำพูดพวกนี้เธอแทบจะท่องจำได้หมดแล้ว และนั่นทำให้เย่ตงรู้สึกตะลึงงันไปชั่วขณะ

เธอรู้สึกว่ารอยยิ้มของผู้อำนวยการหยางเมื่อสักครู่ช่างดูมีเสน่ห์มากเลยทีเดียวล่ะ

แต่หยางหลิงรุ่ยนั้นรู้สึกเหนื่อยหน่ายในใจไปหมด

เธอไม่คิดเลยว่าทุกการเคลื่อนไหวของเธอที่บริษัทนั้นจะถูกคนจับจ้องถึงเพียงนี้

ก็แค่เรื่องขับรถมาทำงานแค่นั้นไม่ใช่เหรอ แล้วเธอจะขับรถอะไรก็ไม่เห็นจะเกี่ยวกับเพื่อนร่วมงานเหล่านี้เลยซักนิด

และแต่ละวันเธอยังเปลี่ยนที่จอดไปเรื่อย ๆ นอกเสียจากจะมีคนจงใจสังเกตเธอทุกวัน มิฉะนั้นคงไม่รู้ว่าเธอเปลี่ยนรถบ่อยเป็นแน่

ในลิ้นชักห้องนอนของหยางหลิงรุ่ยนั้น มีกุญแจรถอยู่สิบกว่าคัน

เวลาไปทำงานเธอมักจะหยิบกุญแจรถตามใจชอบ จับได้ของคันไหนก็ขับคันนั้นมา

และนี่ไม่ใช่ว่าเธออยากจะอวดรวยแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะเธอมีนิสัยที่ค่อยข้างไม่เรื่องมาก อะไรก็ได้ ขอแค่มีรถขับก็พอแล้ว

หากไม่ใช่เพราะครอบครัวหยางได้เตรียมรถหรูไว้ให้เธอ จะเป็นแค่รถยนต์ขนาดเล็กที่มีมูลค่าเพียงไม่กี่หมื่นหยวน เธอเองก็สามารถขับได้หมดเช่นเดียวกัน

แต่เธอแค่ไม่ได้คิดว่าในบริษัทนี้จะมีคนใส่ใจเธอมากขนาดนี้ แค่รถที่เธอขับเป็นปกติก็ยังสามารถสร้างหัวข้อสนทนาขึ้นมาได้

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ในสายตาของคนในบริษัทนั้นจะต้องมองว่ารถของเธอเป็นรถที่เศรษฐีมีตังค์ซื้อให้อย่างแน่นอน

และภาพลักษณ์ของเธอก็คงถูกมองว่าเป็นผู้หญิงประเภทที่พัวพันกับผู้ชายนับไม่ถ้วน และสามารถทำได้ทุกอย่างเพื่อแลกเงินมา

"ผู้อำนวยการหยางคะ พวกหล่อนพูดแบบนั้นจริง แต่สำหรับฉัน คุณไม่ใช่ ไม่ใช่คนแบบนั้น... "

ถึงแม้หยางหลิงรุ่ยสามารถพูดเรื่องที่อยู่ในใจออกมาได้ด้วยท่าทีสบาย ๆ แต่หากบอกว่าในใจของเธอไม่แคร์เรื่องเหล่านั้นเลยก็คงจะไม่ใช่

แต่ท่าทีของเธอในตอนนี้ กลับทำให้เย่ตงเข้าใจว่าเธอกำลังโกรธเพราะคำพูดของตน

นั่นทำให้เย่ตงรู้สึกกระวนกระวายใจขึ้นมาทันที ในขณะเดียวกันเธอก็รู้สึกเสียใจทีหลังเล็กน้อย อยู่ดีไม่ว่าดีปากของเธอนี่แส่หาเรื่องจริง ๆ!

"หือ?" หยางหลิงรุ่ยที่เพิ่งได้สติกลับมารีบโบกมือขึ้น ก่อนจะเอ่ย : "เธอคิดอะไรอยู่เนี้ย ฉันไม่เป็นไร ไม่ได้ใส่ใจเรื่องพวกนี้เลยด้วยซ้ำ"

หยางหลิงรุ่ยหยิบหมากฝรั่งขึ้นมาจากโต๊ะสองชิ้นและยื่นให้กับเย่ตงหนึ่งชิ้น

หลังจากนั้นเธอแกะชิ้นของตัวเองออกก่อนจะส่งเข้าไปในปาก ความหวานของหมากฝรั่งทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาบ้างเล็กน้อย

"ปากอยู่บนร่างกายของพวกหล่อน พวกหล่อนอยากจะพูดอะไรก็ได้ แค่เหตุผลที่ว่าพวกเราไม่ชอบฟัง จำเป็นถึงขั้นต้องไปปิดปากของพวกหล่อนเอาไว้เลยเหรอ สำหรับคนพวกนี้แล้ว เธอไม่ต้องเก็บมาใส่ใจหรอกนะเย่ตง"

คำพูดสบาย ๆ ตรงไปตรงมาของหยางหลิงรุ่ย ทำให้เย่ตงตะลึงไปเล็กน้อย

คนอื่นต่างวิพากย์วิจารณ์เสีย ๆ หาย ๆ ขนาดนั้น ยังจะไม่คิดใส่ใจเลยจริงหรือ

“เธอลองคิดจากอีกมุมหนึ่งดูสิ ว่าทำไมพวกหล่อนถึงได้ตามรังควานเธอไม่เลิกเสียที เอาแต่พยายามสร้างข่าวลือให้เธอไม่หยุดหย่อนเช่นนี้”

หยางหลิงรุ่ยเอ่ยคำพูดชวนคิดให้เย่ตงฟัง

เย่ตงเป็นคนฉลาด เธอคิดอยู่เพียงครู่เดียวก็เข้าใจประเด็นหลักแล้ว

"ข่าวลือนี้เป็นเพราะความอิจฉาเหรอคะ พวกเธอกำลังอิจฉาคุณอยู่ใช่ไหม"

"ใช่" หยางหลิงรุ่ยพยักหน้ารับ จากนั้นพูดด้วยน้ำเสียงดูถูกเหยียดหยามว่า : "ก็แค่คนประเภทที่ไม่มีความสามารถและทัศนคติที่บิดเบี้ยวก็เท่านั้น วัน ๆ เอาแต่คิดว่าตนเองเหนือกว่าคนอื่น หากคนอื่นได้ดีกว่าตนก็ไม่คิดเลยว่าตนนั้นทำอะไรผิดหรือเปล่า กลับกันเอาแต่คิดว่าคนอื่นเที่ยวไปนอนกับคนนั้นคนนี้ ใช้เส้นสายของคนนั้นคนนี้ หรือแม้แต่ใช้วิธีสกปรก แต่ความเป็นจริง”

“พวกเราไม่ได้ทำอะไรเลยด้วยซ้ำ พวกเราเป็นตัวของตัวเองอย่างบริสุทธิ์ใจ แต่การเป็นตัวของตัวเองเช่นนี้ การที่เลือกจะไม่สนใจอะไร กลับทำให้คนขี้อิจฉาเหล่านั้นแทบจะระเบิดออกมา”

เย่ตงเอ่ยเสริมคำพูดของหยางหลิงรุ่ยขึ้น

ทันใดนั้นเองเธอก็รู้สึกอย่างแจ่มแจ้ง ภายใต้การชี้แนะของหยางหลิงรุ่ย ทำให้เธอรู้สึกราวกับกลายเป็นนักจิตวิทยาขึ้นมาทันใด

"ถูกต้อง!" หยางหลิงรุ่ยยกนิ้วโป้งให้เย่ตง ก่อนจะพูดต่อ : "เพราะฉะนั้น ทำไมพวกเราถึงต้องแคร์พวกนั้นด้วยล่ะ พวกเราตั้งใจทำงานมาตลอด พัฒนาตัวเองจนดีเลิศกว่าพวกนั้นอยู่เสมอ แต่พวกนั้นเอาแต่คิดเรื่องชั่ว ๆ บริษัทจะสามารถเติบโตและพัฒนาขึ้นได้นั้น ไม่เพียงแต่อาศัยความพยายามของพนักงานเท่านั้น แต่ยังขึ้นอยู่กับการกลยุทธ์ในการวางแผนของผู้นำอีกด้วย ใน Fahrenheit Entertainment นั้นฉันอาจจะไม่กล้าพูดอะไรเยอะ แต่ขอเพียงเธอเป็นคนเก่งและดีเลิศ ท้ายที่สุดแล้วเธอจะเปล่งประกายอย่างแน่นอน!"

คำพูดของหยางหลิงรุ่ยเมื่อสักครู่ ทำให้เย่ตงสติลอยออกจากร่าง

ความจริง เธอก็ไม่ใช่คนประเภทที่จะไม่รู้สึกอิจฉาอะไรเลย

เพราะเธอเป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่ง แม้ว่าฐานะทางครอบครัวไม่ได้แย่อะไร แต่เธอก็ยังมีความปรารถนาในสิ่งต่าง ๆ มากมายอยู่เหมือนกัน

ถ้าหากเห็นใครที่เริ่มต้นพร้อม ๆ กับตัวเอง แต่กลับไปได้ดีกว่า เธอก็จะรู้สึกอิจฉาขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่

แต่ใจที่รู้สึกอิจฉานั้น มีเพียงนิดเดียวเท่านั้น

เพราะเธอมักจะเรียนรู้จากบุคคลที่เก่งกว่าและอวยพรให้กับพวกเขาเสียมากกว่า

ฉะนั้น เย่ตงเข้ามาทำงานที่ Yang's Entertainment ได้ระยะเวลาหนึ่ง และทำงานใต้คำบัญชาของหลี่ชานชานมาเป็นเวลานาน เธอก็ยังสามารถรักษาเจตนาเดิมของตนเองไว้ได้

ไม่นานหลังจากที่หยางหลิงรุ่ยพูดจบ เธอก็ได้รับอีเมลแจ้งเกี่ยวกับเรื่องงานล่าสุด

พบว่าในนั้นมีเอกสารสองสามอย่างที่ต้องไปรับที่ห้องของผู้เขียนบทโดยตรง จึงได้มอบหมายงานให้เย่ตงเป็นคนจัดการแทน

เย่ตงตอบรับก่อนจะลุกขึ้น แต่ตอนที่เธอกำลังจะเดินออกประตูไปก็ถูกหยางหลิงรุ่ยเรียกเอาไว้ก่อน

"ถ้าหากพวกนั้นยังคงพูดพล่อยไม่หยุด เธอก็ไม่จำเป็นต้องสนใจ ตั้งใจทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุดก็พอแล้ว"

เย่ตงพยักหน้ารับอย่างสุดซึ้ง ก่อนจะเปิดประตูและเดินออกไป

เธอไม่ใช่คนที่จะตกเป็นทาสอารมณ์ได้ง่าย ๆ และยิ่งยังได้ฟังคำอบรมจากหยางหลิงรุ่ยเช่นนั้นแล้วด้วย

เมื่อเดินไปถึงห้องของนักเขียนบท ประตูห้องกลับถูกปิดเอาไว้อย่างไม่เคยเป็น

เย่ตงนิ่งชะงักเล็กน้อย เธอต้องการที่จะรู้ เพราะโดยปกติแล้วห้องนี้มีคนเข้าออกอยู่เสมอ จึงไม่เคยถูกล็อกประตูเอาไว้

เธอก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าวเตรียมจะเคาะประตู แต่ก็ได้ยินเสียงแหลมคมดังขึ้นมาจากข้างในนั้นก่อน

เสียงนี้คือเสียงที่พูดดูถูกเธอเมื่อไม่นานมานี้ นั่นคือจินไห่เว่ย

ภายในห้องนั้น หลี่ชานชานนั่งอยู่ตรงที่นั่งของตนเอง มือของเธอถือกรรไกรตัดเล็บและกำลังค่อย ๆ ซ่อมเล็บสีแดงสดของตนอยู่

ส่วนจินไห่เว่ยนั้นก็นั่งอยู่ไม่ไกล เธอเปิดดูเอกสารด้านหน้าคอมพิวเตอร์และป้อนเนื้อหาลงไปได้เพียงครึ่งเดียว ก่อนจะไม่ทำต่อ

เธอนั่งอยู่บนที่นั่งของตัวเอง และพูดกับคนอื่น ๆ ในห้องเขียนบทว่า : "ยัยเย่ตงนั้น ยิ่งคิดฉันก็ยิ่งโมโห อยากจะเกาะแข่งเกาะขาหยางหลิงรุ่ยจนยอมทิ้งศักดิ์ศรี เป็นแค่เบาะรองเท้า คิดว่าหยางหลิงรุ่ยจะมองเห็นหัวหรือไง”

“นั่นน่ะสิ ไม่ต้องพูดถึงฐานะของหยางหลิงรุ่ยหรอก เพราะอย่างน้อยนางก็มีเศรษฐีคอยเลี้ยงดู แต่ยัยเย่ตงนี่มีอะไร ถ้าไม่ใช่เพราะพี่ชานชานคอยช่วยเหลือในคราแรก ป่านนี้ยัยนั้นคงได้ไสหัวไปจากบริษัทนี้ตั้งนานแล้ว!”

"พวกเธออย่าได้พูดเช่นนั้นเชียว ยัยเย่ตงบ้านรวยจะตาย มีครั้งหนึ่งตอนที่ฉันไปทานข้าวเที่ยงกลับมา ฉันเห็นมีรถเบนซ์คันใหญ่เอาของมาส่งให้หล่อนด้วยล่ะ เบนซ์คันนั้นยังเป็นรุ่นท็อปและผ่านการแต่งมาอีกด้วย ไม่ต่ำกว่าห้าล้านแน่!"

"ครอบครัวของหล่อนงั้นเหรอ เธอว่าหล่อนมีเสี่ยเลี้ยงเหมือนกันไหม ถึงมีดูเข้าขากับหยางหลิงรุ่ยขนาดนั้น... "

สองในสามส่วนของคนในห้องเขียนบทต่างพากันละทิ้งหน้าที่ของตนและเริ่มจับกลุ่มพูดคุยกันขึ้นมา

ส่วนผู้ที่ไม่ได้ละทิ้งงานของตนนั้นก็มีบ้างเป็นครั้งคราวที่เอ่ยแทรกขึ้นอย่างต้องการมีส่วนร่วม

เนื่องจากตอนนี้เย่ตงถูกระบุไว้แล้วว่าเป็นคนของหยางหลิงรุ่ย ดังนั้นพวกเธอจึงไม่อาจไปยั่วยุอะไรได้

แต่การทำงานภายใต้คำสั่งการของหลี่ชานชานนั้น พวกเธอต้องจงรักภักดีต่อหลี่ชานชานเท่านั้น และยิ่งไม่อาจมีปัญหาอะไรด้วยได้

ตั้งแต่เธอเอ่ยจบ หลี่ชานชานก็ยังไม่ได้พูดอะไรขึ้นมา

หลังจากซ่อมเล็บเสร็จแล้ว เธอก็หยิบกระจกแต่งหน้าขึ้นมาจากข้างโต๊ะ ก่อนจะลงมือเติมหน้า

ในตอนนั้นเอง เย่ตงที่ทนอยู่ข้างนอกมานานก็เคาะประตูขึ้นมา

ปังปังปัง ...

เสียงเคาะสามครั้งดังขึ้นต่อกันไม่เว้นจังหวะ แสดงให้เห็นถึงความไม่พอใจของเย่ตง แม้ว่าเมื่อกี้เพิ่งจะถูกหยางหลิงรุ่ยปลอบประโยนหัวใจให้ชุ่มช่ำขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ใจของเย่ตงไม่ได้กว้างเท่าหยางหลิงรุ่ย

คนพวกนี้ไม่รู้จักจบจักสิ้นจริง ๆ!

เสียงเคาะประตูอย่างกะทันหันและดูรีบร้อนนั้น ทำให้คนที่อยู่ในห้องใบ้แดกขึ้นมาทันที

ต่างคนต่างมองหน้ากันไปมาอย่างไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

หรือว่าหยางหลิงรุ่ยมางั้นเหรอ

กลุ่มคนที่เพิ่งคุยกันอย่างออกรสออกเสียงเมื่อสักครู่ บัดนี้กลับหน้าขาวซีดขึ้นมา

ทันใดนั้นเอง หลี่ชานชานก็กระแอมไอขึ้น ดวงตาของเธอชำเลืองมองจินไห่เว่ยโดยไม่ได้ใส่ใจ

จินไห่เว่ยซึ่งอยู่ไกลที่สุดจากประตู รู้ว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องปฏิบัติหน้าที่สุนัขรับใช้

ดังนั้นเธอจึงลุกขึ้นยืนและเดินไปยังประตู มือของเธอแข็งทื่อฉับพลัน ก่อนจะเอื่อมไปเปิดประตูออก

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: โชคชะตาตื้นมาก แต่ความรักนั้นลึกซึ้ง