ในมือของพวกเขาถือกุญแจมือก่อนจะจับกลุ่มคนที่แขนหักกลุ่มนั้นไปทีละคน
หยางหลิงรุ่ยตกตะลึงไปในทันที
ส่วนชายหน้ารอยแผลเป็นคนนั้นก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อนเหมือนกันว่าจะมีตำรวจโผล่เข้ามา เขาแอบคิดในใจว่าคนทั้งหมดนี้ต้องเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดของตระกูลหยางแน่นอน
เขาไม่เอ่ยพูดอะไรแต่กลับพุ่งตัวไปทางนายกอทันที ก่อนจะตะคอกด้วยความโมโห : "แกบอกว่าถ้าหักแขนแล้วเรื่องก็จะจบกันแค่นี้ไม่ใช่หรือไง แล้วโทรแจ้งตำรวจมาทำไมอีก ยังมีศีลธรรมอยู่หรือเปล่า!"
ชายหน้ารอยแผลเป็นพูดเสียงดังจนทำให้นายกอที่เพิ่งเตะเข้าที่หน้าอกของนายอ้วนสามถึงกับต้องเงยหน้าขึ้นมอง
เมื่อสักครู่เขาเองก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกตรงหน้าประตูแต่เขาก็ไม่ได้คิดอะไร
เพราะถึงอย่างไรคนในเมือง S ต่างก็พึ่งพาตระกูลหยางอยู่แล้ว
เมื่อมองเห็นตำรวจเขาก็นิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นมองไปรอบ ๆ และพูดว่า : "ใครหน้าไหนโทรแจ้งตำรวจ"
คำพูดของนายกอเต็มไปด้วยความโมโห กลุ่มอิทธิพลมืดต่างก็มีวิธีแก้ปัญหาในแบบของตัวเองและไม่จำเป็นต้องพึ่งตำรวจเข้ามาจัดการ
การโทรแจ้งตำรวจครั้งนี้เท่ากับเป็นผิดศีลธรรมทางสังคม
แต่ในไม่ช้าเขาก็ค้นพบว่าเรื่องนี้ไม่น่าจะมีเกี่ยวอะไรกับคนรอบข้าง
เพราะลูกน้องที่อยู่รอบตัวเขาล้วนจ้องมองหน้ากันราวกับคนไม่รู้เรื่องโทรแจ้งตำรวจเลยสักนิด
ทันใดนั้นเอง ชายอ้วนคนหนึ่งก็วิ่งหอบออกมาจากกลุ่มตำรวจ
ขนาดตัวของเขาพอ ๆ กับนายอ้วนสาม
"ท่านไหน ท่านไหนคือคุณหลาน"
ฉีหลานก้าวไปข้างหน้าเล็กน้อยและพูดว่า : "ฉันเอง"
เมื่อเห็นรูปร่างหน้าตาของฉีหลาน เจ้าตำรวจอ้วนจู่ ๆ ก็มีความรู้สึกประหลาดใจปขึ้นมา
ในฐานะเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายอย่างน้อยเขาก็ยังสามารถควบคุมตนเองได้
และเขาก็รู้ด้วยว่าคนระดับฉีหลานแล้วเขาไม่อาจเข้าไปยุ่งเกี่ยวอะไรได้เลย
"เราได้รับมอบหมายจากเบื้องบนให้มาช่วยเหลือคุณ คุณไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรใช่ไหมครับ"
นายตำรวจอ้วนมองไปที่ฉีหลานอย่างระมัดระวังพยายามที่จะไม่ให้สายตาของตัวเองมองดูไร้มารยาท
เขารู้ว่าเขามาสาย แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกจริง ๆ
ในฐานะหัวหน้าสำนักงานตำรวจของเมือง S เขาเองก็จำไม่ได้แล้วว่าไม่มีคดีมากี่ปีแล้ว
โดยทั่วไปแล้วเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ต่างก็มีลูกน้องคอยรับมือเอง
แต่คืนนี้เมื่อเขาเพิ่งจะเข้าสู่ห้วงความฝัน ทันใดนั้นก็ถูกปลุกด้วยเสียงโทรศัพท์มือถือ
เดิมทีเขาที่กำลังง่วงเหงาหาวนอนอยู่นั้น หลังจากเหลือบมองไปที่สายเรียกเข้าแล้วร่างกายก็สั่นไปทั้งตัวและรู้สึกตื่นเต็มตาในทันที
สายนี้ถูกโทรมาจากสำนักงานเขตการปกครองประจำจังหวัด
แค่คิดก็รู้แล้วว่าเขาตกใจแค่ไหน
คำสั่งเป็นไปอย่างเร่งรีบ นั่นก็คือให้เขาพาคนไปที่ร้านอาหารเจียงหนานเพื่อช่วยเหลือผู้หญิงที่ชื่อฉีหลาน
สำหรับคำสั่งข้างต้นแล้วหัวหน้าอ้วนคนนี้ไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยถามอะไรสักคำ
เขารีบนำคนออกมาที่นี่อย่างรวดเร็วที่สุด
แต่พอเกือบจะถึงที่หมายแล้วเขาก็ได้รับสายบอกว่าให้มาช้าอีกหน่อย
หัวหน้าอ้วนไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นเช่นนี้ เช่นเดียวกันเขาก็ไม่กล้าที่จะเอ่ยถามขึ้นจึงได้ แต่รอที่ชั้นล่าง
จนกระทั่งได้รับแจ้งเตือนทางโทรศัพท์ว่าเขาสามารถมาได้แล้วเขาถึงเดินเข้ามา
จากนั้นเขาก็พบกับกลุ่มคนที่โดนหักแขนพวกนี้
“พวกนายมาเร็วไปหน่อย ฉันไม่เป็นอะไรแล้ว”
ฉีหลานเอ่ยพูดเสียงเรียบแต่ในคำพูดนั้นแฝงไปด้วยการเยาะเย้ยหัวหน้าอ้วนคนนี้
ถ้าเป็นฉีหลานคนเมื่อก่อนเธออาจจะกล่าวคำขอบคุณและเรื่องก็จะจบลงแค่นี้
แต่หลังจากผ่านเรื่องราวมืดมนมามากมายเธอก็กลายเป็นอีกคนโดยสมบูรณ์
หัวหน้าอ้วนทำหน้าพะอืดพะอมก่อนจะหลบไปอยู่อีกด้าน
เขาไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไงดีในเมื่อมันเป็นคำสั่งจากเบื้องบนทั้งหมด
"ให้ผมส่งคนตามไปส่งคุณไหมครับ" เขาพูดขึ้นอย่างสุภาพน้อบน้อม
"ไม่ต้องแล้ว"
เขาพูดบอกให้รอสักครู่จากนั้นก็วิ่งไปหาหัวหน้าที่สูบบุหรี่อยู่ตรงทางเข้าห้องโถง
"หัวหน้าครับ มีคนลงมาจากชั้นบนตรงนั้น ผมบอกให้หยุดเพื่อตรวจสอบข้อมูลแต่พวกเขาบอกให้ผมมาตามหัวหน้าไปพบ!"
เพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจคนนี้มีความไม่พอใจ เขาจึงอดไม่ได้ที่จะเติมน้ำมันลงไปในคำพูดเล็กน้อย
เพราะถึงอย่างไรท่าทางของบอดี้การ์ดพวกนั้นก็ดูไม่ค่อยดีนัก การที่เขาทำเช่นนี้ก็คงไม่ดูเป็นการแอบฟ้องลับหลังอะไรหรอก
หัวหน้ามองไปที่ทางเข้าลิฟต์ก่อนจะพ่นควันบุหรี่ออกมา
เมื่อมีปฏิกิริยาต่อการเปลี่ยนแปลงของสิ่งรอบตัวแบบนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลื่นเป็นปลาไหลของเขาต้องรู้ว่าควรระวังอะไรและอย่าให้ใครมาจับจุดอ่อนได้
แต่เมื่อตำรวจข้างตัวเขาบอกว่าคนกลุ่มนั้นค่อนข้างก้าวร้าวมากเขาจึงขมวดคิ้วเข้มอย่างอดไม่ได้
ใครกัน บอกให้ตรวจสอบแล้วยังจะให้เรียกหัวหน้าออกมาอีก
"พอจะรู้ไหมว่าเป็นใคร"
หัวหน้ายังไม่ได้ไปกับนายตำรวจท่านนี้ แต่เลือกที่จะสอบถามเสียก่อน
ถึงอย่างไรถ้าสมมุติว่าตำรวจบอกว่าเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง อีกทั้งไม่ใช่ทั้งคนรวยหรือคนที่ฐานะสูง ทำไมเขาถึงต้องไปพบเจอคนพวกนั้น
ไม่ว่าอย่างไรเขาก็เป็นหัวหน้า ปกติตอนออกไปข้างนอกก็มักจะโดนผู้คนพูดประจบประแจงเสมออยู่แล้ว
เมื่อฟังคำถามของหัวหน้า เจ้าหหน้าที่ตำรวจก็ครุ่นคิดถึงรายละเอียดอยู่พักหนึ่ง แล้วจึงเริ่มพูดด้วยความไม่แน่ใจ : “ถ้ามองแบบผิวเผินมันก็ดูอะไรไม่ออก ผู้ชายทั้งสองคนนั้นลักษณะดูเหมือนเป็นบอดี้การ์ดและพวกเขายังดูเหมือนคนที่มีความสามารถในการต่อสู้ ส่วนผู้หญิงสองคนนั้น หัวหน้าครับผมคิดว่าคุณไปดูเองจะดีกว่า บอกตามตรงว่าหนึ่งในนั้นสวยมากจนแทบละสายตาไม่ได้เลยล่ะ"
"ในชีวิตนี้ ผมไม่เคยเห็นผู้หญิงที่สวยขนาดนี้มาก่อน"
คำพูดของนายตำรวจท่านนี้ ทำให้หัวใจหัวหน้าเริ่มเต้นสั่นระรัวขึ้นมาทันที
เขาคิดว่าตัวเองไม่ใช่ข้าราชการที่ดีและปกติเขาก็ไม่ทำอะไรเปิดเผยหรือโปร่งใส
เพื่อประจบเจ้านาย ไม่กี่วันก่อนเขายังหานักศึกษาสาวสวยคนหนึ่งส่งไปให้เจ้านายถึงเตียงเองกับมือ
ผลประโยชน์ในการแลกเปลี่ยนคือปีนี้เขาจะผ่านการประเมินระดับจังหวัด
ผู้ชายนั้นไม่มีใครหรอกที่ไม่ชอบความสวยของสตรี
และหัวหน้าก็รู้ดีว่าผู้หญิงที่ยิ่งสวยก็มักจะยิ่งมีผู้ชายที่น่ากลัวอยู่เบื้องหลัง
ดังนั้นหลังจากสามนาทีที่ปรึกษากับลูกน้องกันสองคนแล้ว เขาก็ตัดสินใจจะออกไปเอง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: โชคชะตาตื้นมาก แต่ความรักนั้นลึกซึ้ง