ตอน บทที่ 148 สตรีเช่นนี้ เหมาะสมที่จะเป็นจิ่งหวังเฟยได้เยี่ยงไร! จาก ภพนี้ตราบภิรมย์รัก – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง
บทที่ 148 สตรีเช่นนี้ เหมาะสมที่จะเป็นจิ่งหวังเฟยได้เยี่ยงไร! คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายประวัติศาสตร์ ภพนี้ตราบภิรมย์รัก ที่เขียนโดย ท้อเยาเยา เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย
ไท่จื่อเตี้ยนเซี่ยทรงลุกขึ้น “เพลานี้สายมากแล้ว ข้าจะต้องรีบกลับไปเข้าเฝ้า ขอตัวลาก่อน”
“ทูลลาเสด็จแม่” ฉู่โม่หยวนปริปากพูดด้วยเสียงต่ำ หลินเมิ่งหวันก็ยืนขึ้นทำความเคารพ
ฉู่จิ่นจ้านทรงหันไปกำชับหมอหลวงว่าให้ถวายการดูแลฉู่โม่หยวนเป็นอย่างดี จากนั้นก็เสด็จออกจากประตูไป
หลินเมิ่งหวันจ้องมองฉู่โม่หยวนอย่างไม่ละสายตา
ฉู่โม่หยวนรู้สึกตัวเร็วกว่าที่นางคิดไว้ ทำให้หลินเมิ่งหวันผ่อนคลายลงอย่างมาก
ทว่าสีหน้าของฉู่โม่หยวนกลับขาวซีดอย่างหนัก เผยให้เห็นริมฝีปากที่เปลี่ยนไปจนเป็นสีเขียวม่วงอย่างผิดปกติ ซึ่งนี่ถือว่าเป็นอาการป่วยที่พบเห็นได้โดยทั่วไป
“ไม่ต้องเฝ้าแล้ว ไม่ตายง่ายๆ หรอก” หูเยว่หานหันไปมองหลินเมิ่งหวังพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่ยินดีนัก
หากกล่าวถึงแม่นางแต่ภายนอกนั้น หลินเมิ่งหวังยังมิได้เข้าพิธีเสกสมรส แต่เหตุใดในใจและในสายตาถึงมีเพียงแต่ฉู่โม่หยวนกันเล่า?
นางก็มิได้สนใจต่อร่างกายของตนเอง!
ร่างกายอ่อนแอลงด้วยพิษ แต่ไม่คาดคิดว่าจะวิ่งออกมาด้วยชุดแต่งกายเยี่ยงนี้ เป็นการหาเรื่องตายแท้ ๆ
กู่เยว่หานให้หลินเมิ่งหวันนั่งลงพลางช่วยนางจับชีพจร
แต่ทว่าหมอหลวงที่ยืนอยู่ด้านข้างได้ยินคำพูดของกู่เยว่หานก็ขมวดคิ้วซ้ำไปซ้ำมา พลางอดทนไม่ไหวจึงกล่าวเตือนขึ้นว่า “หมอกู่ระวังคำพูดของเจ้าด้วย! คนที่อยู่ตรงหน้าเจ้าคือจิ่งอ๋องเตี้ยนเซี่ย ถ้ากล่าววาจาไม่ให้เกียรติจิ่งอ๋องเตี้ยนเซี่ยละก็ จะต้องถูกประหาร......”
“ข้าได้ช่วยชีวิตเขาไว้ การที่กล่าวว่าเขาไม่ตายง่าย ๆ มันไม่ถูกต้องงั้นหรือ? กู่เยว่หานตอบกลับไปโดยมิเกรงใจ พลางหันหน้าไปทางหมอหลวงและโบกมือกล่าวว่า “ฝีมือทางการแพทย์ของเจ้าใช้การไม่ได้ อยู่ที่นี่ก็ช่วยอันใดไม่ได้ จะไปทำอะไรก็รีบไปเถิด”
หมอหลวงที่เดินทางมาถึงเมื่อค่ำวานนี้ไม่ได้ช่วยกระไรเลยแม้แต่น้อย ยังจะมาสร้างความวุ่นวายให้เขาอีก กู่เยว่หานมองพวกเขาแล้วรู้สึกขัดตาเสียจริง
“เจ้า!” หมอหลวงรู้สึกสะอึก ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดง แม้ขนาดอยู่ในวังก็มีไม่กี่คนที่กล้ากล่าววาจากับเขาเยี่ยงนี้
หมอหลวงกล่าวด้วยเสียงเย็นชาว่า “ข้าคือข้าราชสำนักที่ได้รับราชคำสั่งให้มาถวายการรักษาให้กับจิ่งอ๋องเตี้ยนเซี่ย และต้องการทำหน้าที่อย่างสุดความสามารถ! เจ้าเป็นเพียงแค่คนไร้วิชาความรู้ เหตุใดมาออกคำสั่งข้าได้เล่า? เจ้าต้องได้รับโทษที่ไม่เคารพข้าราชสำนักของฮ่องเต้ และไม่เคารพต่อราชนิกุล!”
หลินเมิ่งหวันกล่าวด้วยสีหน้าเย็นชาว่า “ท่านหมอหลวง คนที่อยู่ตรงหน้าท่านคืออาจารย์ของข้าได้โปรดให้เกียรติท่านด้วย”
“คุณหนูหลิน ข้ามิได้แสดงเจตนาที่มิให้เกียรติต่อหมอกู่แต่อย่างใด แต่หมอกู่กล่าววาจาไม่เหมาะสม เห็นสมควรที่จะต้องได้รับโทษ มิใช่ว่าเป็นเพราะเขาคืออาจารย์ของเจ้าแล้วจะสามารถพ้นผิดไปได้? ” หมอหลวงมองไปที่หลินเมิ่งหวันพลางกล่าววาจาประชดประชัน “อีกทั้งองค์ฮ่องเต้กับฮองเฮาทรงให้ความสำคัญกับระเบียบธรรมเนียมจารีตอย่างเคร่งครัด หากคุณหนูหลินยอมรับคุณเยี่ยงนี้เป็นอาจารย์ เกรงว่าองค์ฮ่องเต้และฮองเฮา......”
“หุบปาก” ฉู่โม่หยวนตัดบทสนทนาของหมอหลวงพลางส่งสายตาคมกริบจ้องมองไปที่เขา “ฮ่องเต้กับฮองเฮาจะทรงคิดเห็นประการใด มันใช่เรื่องที่เจ้าจะสามารถมาสอดปากสอดคำงั้นหรือ?”
หมอหลวงสั่นเทาพลางคุกเข่าลงเพื่อขออภัยโทษโดยมิรอช้า
“ออกไป...... เฮ้อ......” ฉู่โม่หยวนกล่าวด้วยเสียงโกรธ แต่ด้วยยังหายใจไม่สะดวกจึงยกมือขึ้นมาทาบอกและไอกระแอมออกมา
หลินเมิ่งหวังรีบประคองตัวของฉู่โม่หยวนขึ้นทันที กู่เยว่หานมองดูหลินเมิ่งหวังโดยมิได้เอ่ยปาก ทำได้เพียงพยุงร่างของฉู่โม่หยวนขึ้นมานวดอย่างเบาๆ เพื่อให้เขาหายใจได้สะดวกขึ้น
ใบหน้าหมอหลวงเต็มไปด้วยความรู้สึกตกใจ ไม่กล้าปริปาก พลางโขกศรีษะตนเองและคลานออกไปนอกประตู
เขาเพียงแต่จ้องมองไปที่โรงยาด้วยความชิงชัง และเดินทางจากไป
ผ่านไปไม่นานหมอหลวงก็กลับเข้าไปในวัง
“อาการของจิ่งอ๋องเป็นเยี่ยงไรบ้าง?” ฮองเฮาทรงตรัสถามด้วยสีหน้ากังวลใจ
หมอหลวงรีบคุกเข่าลง ใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกวิตกกังวลอย่างยิ่ง “จิ่งอ๋องเตี้ยนเซี่ยทรงได้รับความคุ้มครองจากองค์ฮ่องเต้และฮองเฮา ซึ่งเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ บัดนี้อาการมิเป็นอันตรายใดๆ ต่อชีวิต แต่ทว่าร่างกายของจิ่งอ๋องเตี้ยนเซี่ยนั้นอ่อนแอยิ่งนัก ต้องการการเยียวยาและพักฟื้น ข้าน้อยใคร่อยากจะให้จิ่งอ๋องเตี้ยนเซี่ยกลับมารักษาพระองค์ต่อในพระราชวัง แต่คาดมิถึงว่าหมอกู่ที่จวนฉินจะไล่ข้าน้อยกลับมาเยี่ยงนี้ แม้แต่คุณหนูหลินเองก็......”
หมอหลวงมองไปที่ฮองเฮาแล้วส่งเสียงแสดงอาการหุบปากทันที
ฮองเฮาทรงกริ้วแล้วตรัสว่า “คุณหนูหลินเป็นเยี่ยงไร?”
“ฮองเฮา ข้าน้อยพลั้งวาจาไป......” หมอหลวงโขกศีรษะของตนด้วยความตื่นตระหนกกลัว
ฮองเฮาทรงตบพระหัตถ์ลงบนโต๊ะอย่างแรง “เล่ามา!”
หลินเมิ่งหวันบิดกระดาษจดหมายบนมือไว้ไม่คลาย ภายในดวงตาขาวและดำของนางเผยให้เห็นความรู้สึกเกลียดชังอย่างเด่นชัด
นี่คือลายมือของหลี่จิ่นซู หลินเมิ่งหวันจำไม่ผิดแน่!
อีกทั้งตอนนี้หลินเมิ่งหวันสามารถยืนยันได้อย่างแน่ชัด เพราะว่าหลี่จิ่นซูคือชายผู้ย้อนเวลากลับไปในอดีตได้!
เพราะว่าตัวอักษรดังกล่าวไม่ได้เป็นที่นิยมใช้ในแคว้นตงเยว่อย่างแน่นอน แต่เป็นอักษรประเภทพิเศษที่เรียกว่า “อักษรเสี่ยงทาย”!
ในความทรงจำของหลินเมิ่งหวันนั้น “อักษรเสี่ยงทาย” ประเภทนี้น่าจะต้องเป็นอักษรที่หลี่จิ่นซูร่ำเรียนฝึกฝนจนสำเร็จเมื่อสองปีก่อน อีกทั้งหลี่จิ่นซูยังมีความเคยชินที่เป็นลักษณะเฉพาะตน นั่นคือในการเขียนลำดับขีดเส้นสุดท้ายของตัวอักษรจะลากยาวกว่าปกติ ราวกับเป็นหางน้อยๆ ของอักษรนั่น
มิน่าเล่าหลี่จิ่นซูถึงมีวิชาในการรักษาโรคลมพิษ!
มิน่าเล่าการกระทำของหลี่จิ่นซูช่างถึงเปลี่ยนไปอย่างประหลาดเยี่ยงนี้!
หลี่จิ่นซู!
หลินเมิ่งหวันกัดฟันกรอด ดวงตาแดงก่ำด้วยความโกรธในทันที แทบอยากจะเร่งไปเมืองจวนเฉิงเซี่ยงในบัดดล เพื่อจะไปเข่นฆ่าหลี่จิ่นซูให้แหลกลาญ
ทุกคนต่างตกใจกลัวกับการตอบสนองของหลินเมิ่งหวัน
ฉู่โม่หยวนจ้องมองมาที่หลินเมิ่งหวันด้วยความกังวลใจ “เมิ่งหวัน เจ้ารู้จักตัวอักษรนี้ด้วยหรือ?”
ท่าทางของหลินเมิ่งหวันดูผิดปกติอย่างมาก หากเปรียบเทียบกับเมื่อก่อนนั้น ครานี้ดูเหมือนว่าปฏิกิริยาตอบสนองดูจะดุเดือดเพิ่มขึ้นกว่าเดิม
“รู้จัก” ราวกับว่าหลินเมิ่งหวันเค้นคำพูดออกมาจากลำคอ ภายในใจของผู้คนตอนนี้ต่างสั่นเทาไปตามๆ กัน
ในสมองของฉู่โม่หยวนปรากฏเป็นภาพการคะเนหนึ่งขึ้นอย่างฉับพลัน คิ้วของเขาขมวดจนชิดยิ่งขึ้น
หลินเมิ่งหวันพยายามควบคุมอารมณ์ของตนไว้ให้สงบนิ่ง พลางหันหน้าไปมองฉู่โม่หยวนแล้วกล่าวว่า......
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ภพนี้ตราบภิรมย์รัก