ถึงอย่างไร คุณพ่อได้ทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นโดยเจตนา
ถ้าพงศกรต้องการเอาความ คุณพ่อก็คงหนีไม่พ้น เพราะตั้งแต่ต้นจนจบพงศกรไม่ได้ขัดขืนแม้แต่น้อย ดังนั้น ตามกฎหมายแล้ว คุณพ่อจึงไม่อาจไกล่เกลี่ยได้เลย
เมื่อพงศกรตัดสินใจจับคุณพ่อเข้าคุก คุณพ่อก็ต้องได้เข้าคุกแน่นอน
เมื่อเห็นปาจรีย์หน้านิ่วคิ้วขมวด คุณแม่ปารวีจึงคลี่หน้าผากของเธออย่างอดไม่ได้ “เป็นอะไรลูก? คิดอะไรอยู่น่ะ หน้าตาอมทุกข์เชียว?”
ปาจรีย์ขบริมฝีปากล่าง ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ยังพูดในสิ่งที่ตัวเองกังวลออกมา
หลังจากได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของแม่ปารวีก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย “นี่มัน...…”
เห็นได้ชัดว่าเธอไม่ได้คิดถึงผลลัพธ์เช่นนี้เลย
แม่ปารวีมองไปยังปาจรีย์ด้วยสีหน้ากังวล "ปาจรีย์ ถ้าเขาต้องการฟ้องพ่อจริง ๆ เราจะทำอย่างไรกันดีล่ะลูก?"
ปาจรีย์ส่ายศีรษะ "หนูก็ไม่รู้ค่ะ"
“ถ้าอย่างงั้น เราไปโรงพยาบาล ไปขอร้องเขาดีไหมลูก?” คุณแม่ปารวีคิดหาทางแก้ไขและกล่าวออกมา “บางทีวิธีนี้ เขาอาจจะไม่ฟ้องพ่อก็ได้นะลูก”
“แต่แม่คิดว่ามันจะเป็นไปได้หรือคะ?” ปาจรีย์ยิ้มเจื่อน “ถ้าพงศกรใจกว้างขนาดนั้น เขาจะเกลียดตระกูลจิรดำรงค์ของเราตั้งหลายปีหรือคะ?”
“……” คราวนี้ คุณแม่ปารวีไม่มีอะไรจะกล่าว
ใช่ ถ้าพงศกรใจกว้างขนาดนั้นจริง ๆ คงคิดจะบอกเรื่องการตายของพ่อแม่เขาตั้งนานแล้ว และเขาจะไม่มีทางจะโทษตระกูลจิรดำรงค์ และจะไม่เกลียดชังพวกเขาตลอดมา
“หรือว่าพ่อของลูกต้องติดคุกจริง ๆ ?” ดวงตาของคุณแม่ปารวีแดงก่ำด้วยความกังวล
ด้วยนิสัยจิตใจคับแคบและพยาบาทของพงศกร เขาจะไม่ปล่อยตาเฒ่าไปอย่างแน่นอน
ปาจรีย์เอื้อมไปจับมือคุณแม่ ครู่หนึ่งจึงกล่าว "คุณแม่คะ พวกเราไปโรงพยาบาลกันเถอะค่ะ"
“ไปโรงพยาบาล?” คุณแม่ปารวีมองดูเธอด้วยความสงสัย
ปาจรีย์พยักหน้า “ค่ะ ไปโรงพยาบาล เราไปขอโทษพงศกรกันก่อนเถอะค่ะ ไม่ว่าอย่างไร การที่คุณพ่อลงมือกับเขาก็เป็นการทำผิดพลาดจริง ๆ เราต้องแสดงทัศนคติของเราค่ะ เขาจะให้อภัยหรือไม่ให้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่เราจะขอโทษหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ เขาอาจจะไม่ให้อภัย แต่อย่างไรเราก็ต้องขอโทษค่ะ ถ้าเราไม่ขอโทษ ก็อาจจะช่วยอะไรคุณพ่อไม่ได้จริง ๆ นะคะ”
คุณแม่ปารวีถอนหายใจ “ที่ลูกพูดมาก็ถูก”
“งั้นพวกเรารีบไปกันเถอะค่ะ” ปาจรีย์ลุกขึ้นยืน "บางทีถ้าเราขอโทษ อาจจะยังมีความหวังเล็ก ๆ ที่พงศกรจะปล่อยคุณพ่อไปก็ได้ค่ะ แม้ว่าความหวังนี้จะริบหรี่ แต่เราก็ต้องทำให้ดีที่สุดค่ะ ถ้าเขาไม่ยอมรับคำขอโทษของเรา และยืนกรานที่จะฟ้องคุณพ่อ เราก็ยังสามารถหยั่งเชิงเขาว่าจริง ๆ แล้วเขาต้องการอะไร และต้องทำอย่างไรเขาถึงจะปล่อยคุณพ่อไป”
“แล้วถ้าเขาต้องการเด็กในท้องลูกล่ะ?” คุณแม่ปารวีมองไปที่ท้องของเธอ
ม่านตาของปาจรีย์หดเล็กลง สีหน้าซีดเซียว เห็นได้ชัดว่าเธอตกใจกับสิ่งที่คุณแม่ปารวีพูด เธอจึงเงียบไปนานพอสมควร
ใช่ ที่พงศกรตามมาถึงที่นี่ ก็เพื่อต้องการให้เธอเอาเด็กในท้องออก
ตอนนี้มีโอกาสพอดี เขาไม่มีทางที่จะพลาด
และอีกอย่าง โอกาสนี้เขาแทบจะไม่ได้หามันด้วยตัวเอง แต่ครอบครัวของเขาเป็นฝ่ายมอบให้เขา
เมื่อเห็นปาจรีย์เป็นเช่นนี้ คุณแม่ปารวีก็เจ็บปวดใจไม่หาย เธอคว้าคนเข้าสู่อ้อมกอด และตบหลังเพื่อปลอบโยน "เอาล่ะ ลูกอย่าคิดมากเลย แม่ก็พูดไปอย่างนั้น บางทีเรื่องอาจจะไม่ได้แย่ขนาดนั้นก็ได้จ้ะ”
“แต่คุณแม่คะ เราทุกคนรู้ดี ว่าถ้าเราต้องการให้พงศกรปล่อยคุณพ่อไป การเอาเด็กออกก็เป็นวิธีที่ดีที่สุด ไม่ใช่หรือคะ?” ใบหน้าของปาจรีย์เต็มไปด้วยความขมขื่น "พงศกรจะต้องพูดถึงเรื่องนี้แน่นอนค่ะ เขามาที่นี่ ก็เพื่อให้หนูเอาเด็กออกนี่คะ”
พูดตามตรง ตอนนี้เธอลืมพงศกรและไม่รักเขาแล้ว จึงไม่ได้มีความรักต่อเด็กในท้องมากนัก
แต่ก่อนหน้านี้ ก่อนหน้านี้ที่เธอยังไม่ลืมเขา เธอรักเด็กคนนี้อย่างลึกซึ้ง มิฉะนั้น เธอคงไม่ได้เขียนมันลงบนกระดาษโน้ตโดยเฉพาะ แม้ว่าเธอจะลืมพงศกรไปแล้ว แต่เธอก็ต้องให้กำเนิดและเลี้ยงดูเด็กคนนี้จนเติบใหญ่
ดังนั้น เด็กคนนี้ เธอไม่อยากพรากเขาไปจริง ๆ
หากว่าในภายภาคหน้า ความทรงจำของเธอที่เกี่ยวกับพงศกรบังเอิญกลับคืนมา แล้วเด็กคนนี้จากไป ไม่รู้ว่าเธอจะพังทลายขนาดไหน
ทว่าปัญหาในตอนนี้คือคุณพ่ออาจจะต้องติดคุก
กล่าวคือ ตอนนี้เธออยู่ในภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ระหว่างคุณพ่อที่ต้องติดคุก กับการที่เด็กได้มีชีวิตอยู่ต่อไป เธอไม่สามารถเลือกได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ
อ่านจบครบทุกตอนแล้วค่ะ สนุกมากค่ะเนื้อเรื่องน่าติดตาม ติดงอมแงมเลย นางเอกฉลาดทันคนดีค่ะ ขอติอย่างเดียวคือ พิมพ์ผิดเยอะมากทำให้เสียอรรถรสใน การอ่าน เป็นกำลังใจให้นักเขียนนะคะ🫶🏻...
แล้วกโอ้เอ คุยยืดยาดอยู่นั่น หนีสิคะ ไปหาตำรวจก่อน แจ้งว่ามีสตอคเกอร์ ขอความคุ้มครองจากตำรวจ รอนัทธีส่งคนไปรับ...
นางเอกโง่มาก มีคนชั่วอยู่ในบ้าน ก็ต้องรีบกำจัดสิ เก็บไว้ให้มันทำร้ายตัวเองกับลูกเหรอ น่าจะรีบบเอาวีดีโอให้สามีดูแล้วแจ้งตำรวจ...