“ก็ดี!”
หลินหว่านชิงกรอกตาใส่ฉินหมิงด้วยท่าทางน่ามอง แต่พอเห็นแผลที่ฝ่ามือฉินหมิงเธอถามด้วยความเป็นห่วง “ว่าแต่แผลที่มือนายเป็นอย่างไรบ้าง?”
“บริษัทของเรามีห้องพยาบาลเฉพาะนะ เดี๋ยวฉันพานายไปเอง”
ฉินหมิงลังเลเล็กน้อย แผลที่มือเขาก็แค่บาดเจ็บที่ผิวหนังถาก ๆ ไม่ได้ร้ายแรงอะไร
แต่ว่าไปที่ห้องพยาบาลทำความสะอาดและฆ่าเชื้อก็ช่วยหลีกเลี่ยงการติดเชื้อที่บาดแผลได้
“หว่านชิงเมื่อวานเธอก็ไม่ได้มาที่บริษัทมีงานเป็นกองที่รอให้เธอจัดการเพียบเลย เดี๋ยวฉันพาฉินหมิงไปทำแผลที่ห้องพยาบาลเอง!”
หานซีฉวยโอกาสชวนฉินหมิง
“เธอน่ะเหรอ?”
หลินหว่านชิงมองหานซีด้วยความแปลกใจ ถ้าจำไม่ผิดหานซีไม่ค่อยชอบหน้าฉินหมิงเพราะเรื่องเมื่อเช้าไม่ใช่เหรอ?
อีกทั้งนิสัยของหานซีหยิ่งยโสมาก เธอมักจะเมินพวกผู้ชายเสมอ
ตอนนี้ปรากฏว่าหานซีร้องขออยากจะพาฉินหมิงไปห้องพยาบาลเอง นี่เป็นเรื่องหายากจริง ๆ
“ก็ฉันเข้าใจผิดหลงเชื่อคำโกหกของเหยียนซ่งไท่ เลยเข้าใจฉินหมิงผิดไปหน่อย”
“เพราะฉะนั้นฉันเลยจะพาเขาไปห้องพยาบาลถือว่าเป็นการขอโทษเขาละกัน…”
ใบหน้าสวยของหานซีแดงเล็กน้อย เพราะสายตาของหลินหว่านชิงทำให้หานซีรู้สึกกระอักกระอ่วน
“อืม อย่างนั้นเธอก็พาเขาไปเถอะ”
หลินหว่านชิงยิ้มเล็กน้อย ไม่ได้เอามาใส่ใจ
…
หลังจากที่ฉินหมิงทำความสะอาดแผลและพันแผลที่ห้องพยาบาลเสร็จแล้วเขาก็กลับมาที่สำนักงานผู้บริหารอีกครั้ง
เนื่องจากเหยียนซ่งไท่ถูกไล่ออกไปแล้ว หลินหว่านชิงจึงมอบหมายให้ผู้อำนวยการระดับสูงคนหนึ่งไปที่สำนักงานผู้บริหารเพื่อคอยดูแลงานต่าง ๆ
อีกฝ่ายเป็นชายวัยกลางคนในวัยสี่สิบกว่าปี เขามีชื่อว่าจั้วหลิวเจิ้นซึ่งต่อไปเขาจะมาเป็นผู้อำนวยการสำนักงานผู้บริหาร
ในสำนักงานผู้บริหารมีเลขานุการประธานถึงสามคนด้วยกัน
นอกจากฉินหมิงและเฉินถิงถิงแล้ว ก็ยังมีหญิงสาวอีกคนหนึ่งที่ชื่ออู๋จิ้ง
อู๋จิ้งอยู่ในช่วงอายุสามสิบต้น ๆ และทำงานที่บริษัทได้สามปีแล้ว เธอสวมสูทดูเป็นทางการสีดำ สวมแว่นสายตาสั้นแบบไร้ขอบ เธอดูเหมือนคนเฉียบแหลมและมีความสามารถ
หลิวเจิ้นจัดการให้ฉินหมิงอยู่กับอู๋จิ้งเพื่อให้ฉินหมิงเรียนรู้งานพื้นฐานจากอู๋จิ้ง
ภายใต้การแนะนำอย่างรอบคอบของอู๋จิ้ง ฉินหมิงเรียนอย่างตั้งใจ โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวเวลาช่วงบ่ายก็ผ่านไปแล้ว
หลังจากเลิกงาน
ฉินหมิงคิดถึงใบหน้างามของหลินหว่านชิงอย่างสบายอารมณ์ เขาฮัมเพลงที่ไม่รู้จักแล้วเดินไปที่ลานจอดรถ
“เลขาฉินคะ รอก่อนค่ะ…”
เสียงแหลมเล็กดังมาจากด้านหลัง เฉินถิงถิงวิ่งตามมาข้างหลังจนหน้าแดงก่ำ
“เลขาเฉิน มีธุระอะไรหรือเปล่าครับ?”
ฉินหมิงขมวดคิ้วมองเฉินถิงถิงอย่างไม่สบอารมณ์ เขามีความประทับใจที่ไม่ดีกับเฉินถิงถิงเพราะว่าเธอหักหลังเขาอย่างเจ็บแสบ
“ฉันขอโทษนะคะ สิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เป็นความผิดของฉันเอง ฉันต้องขอโทษคุณจริง ๆ นะคะ…”
เฉินถิงถิงโค้งคำนับต่อฉินหมิง
“ไม่จำเป็นหรอกครับ คุณได้ขอโทษผมที่ห้องสำนักงานแล้ว”
ฉินหมิงพูดเสียงเรียบ
“ฉันรู้ค่ะ แต่ฉันหวังว่าคุณจะให้อภัยฉัน…”
เฉินถิงถิงกัดริมฝีปากแน่น ตลอดทั้งตอนบ่ายในใจเธออยู่ไม่เป็นสุขได้แต่ครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรให้ฉินหมิง
อภัยกับเธอ ไม่อย่างนั้นใจเธอคงไม่สงบเป็นแน่
“เรื่องมันก็ผ่านมาแล้ว ไม่มีอะไรจะให้อภัยหรือไม่ให้อภัยแล้วล่ะครับ!”
ฉินหมิงนึกขัน เขาเองก็ไม่ใช่นักบุญ ไม่ว่าใครเจอเรื่องแบบนี้ก็คงยากที่จะปล่อยมันไปง่าย ๆ
เฉินถิงถิงกัดฟัน เธอคุกเข่าลงต่อหน้าฉินหมิงดังตุบ
ฉินหมิงตกใจและรีบไปพยุงเฉินถิงถิง “เลขาเฉินนี่คุณจะทำอะไร? คุณรีบลุกขึ้นมาเร็ว!”
เฉินถิงถิงส่ายหน้าไม่ยอมลุกขึ้น
“พ่อของฉันทิ้งไปตั้งแต่ฉันยังเล็ก ๆ เหลือเพียงแม่ที่คอยเลี้ยงดูฉันกับน้องชายจนโตมาอย่างยากลำบาก”
“ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา แม่ฉันป่วยเนื่องจากการทำงานหนักและเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ทุก ๆเดือนค่ารักษาก็แพง…”
“ปีนี้น้องชายของฉันก็เพิ่งจะเข้าเรียนที่มหาลัยเจียงเฉิง ต้องการค่าเทอมและค่ากินอยู่…”
“งานนี้สำคัญกับฉันมาก ฉันกลัวว่าจะตกงานก็เลยหน้ามืดตามัวร่วมมือเป็นพยานให้ผู้อำนวยการเหยียน…”
“ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าฉันผิดจริง ๆ โปรดให้โอกาสฉันและให้อภัยฉันด้วยเถอะนะคะ…”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พลิกชะตารัก มรดกเซียน
รออัพเดท ตอนต่อ ๆ ไป ครับ...