บทที่ 1 ยังมีชีวิต
ภาคที่หนึ่ง ตื่นจากจำศีล
บทที่ 1 ยังมีชีวิต
เดือนสาม ต้นฤดูใบไม้ผลิ
ภาคตะวันออกทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ ในมุมหนึ่ง
แรงกดดันอันหนักอึ้งที่กดทับลงมา ท้องฟ้าพยับเมฆครึ้ม ดำทะมึนไปทั้งผืน ราวกับมีคนสาดน้ำหมึกลงไปบนกระดาษ อาบย้อมท้องฟ้าซึมย้อมถึงชั้นเมฆ
ชั้นเมฆตัดสลับทับซ้อนกัน แสงอัสนีสีแดงแปลบปลาบกระจายออกเป็นสายพร้อมเสียงครืนครันตามมา ราวกับเทพเจ้าคำรามเสียงต่ำลั่นก้องไปทั่วทั้งโลกา
น้ำฝนสีเลือดนำพาความโศกเศร้ารินหลั่งลงสู่โลกมนุษย์
บนผืนแผ่นดินที่ดูเลือนราง มีเมืองที่เหมือนซากปรักหักพังแห่งหนึ่งอยู่ท่ามกลางสายฝนเลือดแดงฉานอย่างเงียบงัน ไร้ชีวิตชีวา
กำแพงในตัวเมืองล้มระเนระนาด ทุกสรรพสิ่งแห้งเหี่ยวแหลกสลาย มองเห็นศพสีดำคล้ำเป็นร่างๆ ได้ทุกหนแห่ง ราวกับใบไม้ร่วงที่โรยราอย่างเงียบงันในฤดูสารท
ถนนหนทางที่เคยคึกคักในอดีต ปัจจุบันเหลือเพียงความเงียบเหงาซึมเซา
ถนนดินลูกรังที่เคยมีผู้คนสัญจรไปมา เวลานี้ไม่เหลือความคึกครื้นอีกต่อไป
เหลืออยู่เพียงกองเลือดที่ปะปนกับเศษเนื้อ ผงฝุ่น และเศษกระดาษผสมกันจนแยกไม่ออก ดูน่าสยดสยองเสียเหลือเกิน
รถม้าที่ผุพังคันหนึ่งจมอยู่ในดินเลนไม่ไกลนัก บนเก๋งรถมีตุ๊กตาผ้ารูปกระต่ายที่ถูกทอดทิ้งแขวนไว้ โยกไหวตามแรงลม
ผ้าป่านเนื้อหยาบสีขาวที่อาบย้อมด้วยเลือดสีแดงไปทั้งผืน ทั้งน่ากลัวน่าขนลุก
ดวงตาที่ขุ่นมัวราวกับมีความโกรธแค้นเหลือทิ้งไว้จดจ้องไปยังก้อนหินสีกระดำกระด่างเบื้องหน้าเพียงอย่างเดียว
ที่นั่น มีเงาร่างหนึ่งนอนพังพาบอยู่
เป็นเด็กหนุ่มอายุราวสิบสามสิบสี่ปี สวมเสื้อผ้าขาดวิ่น ทั้งเนื้อทั้งตัวมอมแมมสกปรก ที่เอวมีถุงหนังขาดๆ คาดอยู่
เด็กหนุ่มหรี่ตา ไม่ขยับเขยื้อน ลมหนาวเสียดแทงกระดูกพัดลอดเสื้อคลุมตัวนอกขาดๆ ของเขาเข้ามาทุกทิศทาง โถมโจมตีทั้งร่าง และค่อยๆ นำพาอุณหภูมิร่างกายของเขาออกไป
แม้ว่าหยาดฝนจะชโลมอยู่บนหน้า แต่ดวงตาของเขาก็ไม่แม้แต่จะกะพริบเลยแม้แต่น้อย จ้องเขม็งเย็นเยียบดั่งเหยี่ยวไปยังจุดที่ห่างไกล
มองตามสายตาเขาไปยังตำแหน่งที่ห่างจากเขาเจ็ดแปดจั้ง[1] นกแร้งผอมซูบกำลังจิกซากศพเน่าของสุนัขป่าตัวหนึ่งอยู่ สายตาของมันกวาดมองไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง ราวกับว่าหากในซากปรักหักพังที่อันตรายนี้มีลมพัดหญ้าไหวเพียงนิด มันก็จะโบยบินขึ้นไปในทันที
กับเด็กหนุ่มที่ราวกับเป็นนักล่า เฝ้ารอโอกาสอย่างอดทน
ผ่านไปเนิ่นนาน โอกาสก็มาถึง ในที่สุดนกแร้งที่ตะกละตะกลามก็หันหัวของมันไปจมจ่อมอยู่กับการกัดกินเนื้อช่วงท้องของสุนัขป่าอย่างรวดเร็ว
พริบตาเดียว ดวงตาที่หรี่ลงของเด็กหนุ่มก็เฉียบคมเย็นยะเยือก
ร่างกายของเขากระโจนออกไปราวกับคมศรที่พุ่งออกจากเกาทัณฑ์ไปหานกแร้งอย่างรวดเร็ว มือขวาชักเหล็กแหลมสีดำออกมาจากถุงหนังคาดเอว
ปลายแหลมคมของเหล็กแหลมส่องประกายเย็นยะเยือก
พริบตาที่เด็กหนุ่มพุ่งตัวออกมา บางทีนกแร้งอาจสัมผัสได้ถึงจิตสังหาร มันจึงรู้สึกตัวทันที ด้วยความตกใจจึงกางปีกกระพือขึ้นตั้งท่าจะบินหนี
แต่ก็ช้าไปเสียแล้ว
เหล็กแหลมสีดำกลายเป็นเส้นสีดำสายหนึ่งตามการออกแรงสะบัดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ของเด็กหนุ่มพุ่งออกไป
พรวด!
เหล็กแหลมแหลมคมแทงเข้าหัวของนกแร้งในพริบตา กะโหลกแตก สิ้นชีพลงทันที
แรงปะทะรุนแรงเสียจนศพของมันลอยคว้างตกลงเสียงดังพลั่ก เสียบอยู่บนรถม้าที่อยู่ไม่ไกลนัก
ตุ๊กตาผ้าสีเลือดที่อยู่ข้างๆ ก็คลอนไหวไปมาตามแรงสั่นสะเทือนของตัวรถม้า
สีหน้าเด็กหนุ่มเรียบสงบ ความเร็วตั้งแต่ต้นจนจบไม่มีสะดุดเลยแม้แต่น้อย พุ่งตรงไปยังจุดนั้นแล้วรวบเหล็กแหลมกับศพของนกแร้งไว้ด้วยกัน
ความรุนแรงของพลังทำให้รถม้าส่วนที่ถูกเหล็กแหลมทะลวงผ่านแยกออกมาเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
พอเสร็จเรื่อง เขาก็ออกวิ่งไปตามริมฝั่งถนนโดยไม่เหลียวหลังอย่างรวดเร็ว
เหมือนลมจะแรงขึ้นในตอนนี้ ยามที่รถม้าสั่นไหวตุ๊กตาผ้าสีเลือดก็ราวกับกำลังจับจ้องยังเด็กหนุ่มที่ห่างออกไปไกลขึ้นเรื่อยๆ
เหมือนลมจะแรงขึ้นจริงๆ ความหนาวเย็นที่นำเม็ดฝนมาด้วยปัดผ่านเสื้อบางๆ ของเด็กหนุ่ม
เด็กหนุ่มตัวสั่นอย่างควบคุมไม่อยู่ คิ้วขมวดเล็กน้อย ห่อปกคอเสื้อเข้ามา ในปากมีเสียงสูดอากาศ
เขาเกลียดความหนาวเย็น
วิธีต่อต้านความหนาวเย็นก็คือการหาสถานที่หลบลมหลบฝนเพื่อพักผ่อน แต่เด็กหนุ่มที่วิ่งอยู่ริมถนนเวลานี้ ความเร็วไม่ช้าลงเลยแม้แต่น้อย เศษซากร้านรวงยังผ่านตาเขาไปทีละร้านๆ
เขาเหลือเวลาไม่มากมากแล้ว
เพราะเสียเวลาในการล่านกแร้งนานเกินไป เขายังมีอีกสถานที่หนึ่งต้องไปวันนี้
“น่าจะอีกไม่ไกลแล้ว” เด็กหนุ่มพึมพำกับตนเอง วิ่งทะยานไปตามริมถนน
มองเห็นศพร่างดำคล้ำหลายศพอยู่ทุกหนแห่งบนถนนที่มุ่งหน้าไป ใบหน้าไร้ซึ่งความหวังของพวกเขาเต็มไปด้วยรอยบิดเบี้ยว ราวกับหลอมรวมเป็นกลิ่นอายแห่งความสิ้นหวัง แทรกซึมเข้ามายังจิตวิญญาณของเด็กหนุ่ม
แต่เด็กหนุ่มก็เหมือนชินชาจนเป็นเรื่องปกติ ไม่แม้แต่จะชายตามอง
เวลาค่อยๆ ผ่านไปที เด็กหนุ่มมองไปทางท้องฟ้าเป็นระยะสีหน้าร้อนรนขึ้นมาเล็กน้อย เหมือนการเปลี่ยนสีของท้องฟ้าสำหรับเขา ยังน่ากลัวกว่าศพเหล่านั้นเสียอีก
ดีที่ไม่ผ่านไปนานนัก ตอนที่เขามองเห็นแผงขายยาที่ตั้งห่างออกไปไกลๆ เด็กหนุ่มก็พรูลมหายใจอย่างโล่งอกออกมา พุ่งตรงเข้าไปทันที
ร้านยาไม่ใหญ่นัก บนพื้นมีชั้นวางยาล้มคว่ำกระจัดกระจาย ระเกะระกะไปหมดอยู่ มีกลิ่นอับพัดออกมา ราวกับมีคนเคยเปิดห้องสุสาน
ในมุมหนึ่งมีศพของชายชราอยู่ด้วย ทั่วทั้งตัวดำคล้ำพิงอยู่กับกำแพง จ้องมองออกไปยังโลกภายนอกอย่างไร้ประกาย ราวกับยังไม่ทันได้หลับตาลงก็สิ้นชีพไปเสียก่อน
เด็กหนุ่มก้าวเข้าไปแล้วกวาดตามองและเริ่มรื้อค้น
สมุนไพรที่นี่ส่วนใหญ่ก็เหมือนกับศพเหล่านั้น กลายเป็นสีดำคล้ำจนหมด มีอยู่ไม่มากนักที่ยังใช้ได้
ในสมุนไพรที่ยังใช้ได้เหล่านี้ เด็กหนุ่มใช้เวลาจำแนกอย่างละเอียดอยู่นาน
จากประสบการณ์ที่มาผ่านมา ในที่สุดเขาก็หยิบหญ้าจินช่วงที่พบเห็นได้ทั่วไปขึ้นมาช่อหนึ่ง ถอดเสื้อตัวบางออก เผยให้เห็นบาดแผลขนาดใหญ่บนหน้าอก
บาดแผลยังไม่สมานกันดี ขอบแผลเริ่มมีสีดำขึ้น กระทั่งมีเลือดบางส่วนไหลออกมาด้วย
เด็กหนุ่มก้มหน้าดูผาดหนึ่ง หลังจากบดสมุนไพรแล้วก็กัดฟันสูดลมหายใจลึก ยกมือทายาลงบนปากแผลทีละน้อย
ชั่วพริบตา ความเจ็บปวดของบาดแผลก็แล่นราวคลื่นโถมกระหน่ำซัดเข้ามาฉับพลันจนเด็กหนุ่มร่างสั่นสะท้านอย่างอดไม่อยู่ เขาฝืนทนไว้ ทว่าหยาดเหงื่อบนหน้าผากกลับควบคุมไว้ไม่อยู่ไหลลงมาตามแก้มหยดลงบนพื้นสีทึบทีละหยด จนคล้ายกับคราบน้ำหมึก
ขั้นตอนทั้งหมดดำเนินไปกว่าสิบอึดใจ หลังจากที่เขาใช้สมุนไพรทาบาดแผลจนเสร็จ เด็กหนุ่มก็ราวกับหมดเรี่ยวแรง ยันตัวกับตู้ยาข้างๆ เมื่อความเจ็บปวดบรรเทาขึ้นมาหน่อย ก็พรูลมหายใจยาวออกมา จากนั้นจึงค่อยๆ สวมเสื้อผ้า
มองไปยังสีท้องฟ้าด้านนอกอีกครั้ง หลังจากขบคิดก็ล้วงเอาแผนที่ขาดๆ ออกมาจากถุงหนังคาดเอว กางออกอย่างระมัดระวัง
แผนที่เขียนอย่างง่าย สิ่งที่บันทึกไว้ก็คือเมืองแห่งนี้
มีการทำสัญลักษณ์ตำแหน่งร้านยาในเมืองไว้ และตำแหน่งตะวันออกเฉียงเหนือของร้าน หลายแห่งก็ถูกคนใช้เล็บกากบาทไว้แล้วเช่นกัน เหลือเพียงอีกสองเขตที่ยังไม่ถูกกา
“หามาหลายวันแล้ว น่าจะอยู่ซักที่ในสองที่นี่” เสียงเด็กหนุ่มแหบพร่า งึมงำแผ่วเบา เก็บแผนที่ลงและตั้งใจจะออกไป
แต่ก่อนที่จะออกไป เขาหันกลับมามองศพชายชราที่อยู่ด้านข้าง สายตามองไปยังเสื้อผ้าบนตัวของศพ
เป็นเสื้อขนสัตว์ตัวหนึ่ง บางทีอาจเพราะลักษณะพิเศษของคุณภาพหนัง เสื้อขนสัตว์ตัวนี้จึงไม่เปื่อยรุนแรงมากนัก
เด็กหนุ่มคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเดินเข้าไปปลดเสื้อขนสัตว์ของศพชายแก่ออกมาแล้วสวมใส่
แม้เสื้อขนสัตว์ใหญ่ไปสักนิด แต่หลังจากคลุมร่างผอมเล็กของเด็กหนุ่มแล้ว เขาก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นในที่สุด จึงก้มหน้าลงมองไปยังดวงตาที่เบิกโพลงอยู่ของชายชราคนนั้น ยกมือขึ้นลูบปิดเบาๆ ให้เขาได้ตายตาหลับ
“หลับให้สบาย” เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงเบา จัดการฉีกผ้าม่านในร้านลงมาคลุมร่างศพชายชราไว้ แล้วหันหลังออกจากร้านยาไป
ขณะเดินออกมา แสงอ่อนวูบหนึ่งสะท้อนวาบออกมาที่ปลายเท้าของเขา เด็กหนุ่มก้มมองไป มีเศษกระจกขนาดเท่าฝ่ามือชิ้นหนึ่งอยู่ในกองเลือด
ในเศษกระจก เขามองเห็นใบหน้าของตนเอง
ใบหน้าที่สะท้อนในเศษกระจก แม้จะสกปรกมอมแมม แต่ยังคงมองออกว่าเป็นคนที่มีใบหน้าที่หล่อเหลามากคนหนึ่ง
เพียงแต่ไม่ได้นุ่มนิ่มเหมือนเด็กหนุ่มอายุสิบสามสิบสี่ทั่วไป และมีความเย็นชาเข้ามาแทนที่
เด็กหนุ่มจ้องมองตนเองในกระจกที่อยู่บนพื้น จากนั้นจึงยกเท้าขึ้นแล้วเหยียบลงไป
เสียงแตกดังเปรี๊ยะ
รอยร้าวปรากฏขึ้น
หลังจากเหยียบกระจกจนแตกแล้ว เขาก็วิ่งทะยานออกไป
แม้เศษกระจกแตกบนพื้นดินจะเต็มไปด้วยรอยร้าว แต่ก็ยังสะท้อนภาพบนฟ้าออกมาเป็นเหมือนเสี้ยวใบหน้าอันโหดร้ายขนาดมโหฬารของเทพเจ้า ที่ใหญ่ราวกับปกคลุมโลกและปกคลุมสรรพชีวิตเอาไว้
เสี้ยวใบหน้านั้นหลับตาลงอย่างไม่แยแส บนท้องฟ้าสูงลิบ มีเพียงปอยผมแห้งๆ ที่หงิกงอห้อยลงมาเรื่อยๆ
นั่นเป็นตัวตนธรรมชาติระดับเดียวกับตะวันจันทราของโลกใบนี้
เบื้องล่างขององค์ท่าน สรรพสิ่งราวกับเป็นดั่งมดปลวก และเหมือนเมื่อตื่นจากจากจำศีลมา ปรากฏการณ์การเติบโตของสรรพสิ่งต้องเปลี่ยนแปลงอย่างมิอาจเลี่ยงด้วยผลกระทบจากตัวขององค์ท่านเอง
เวลานี้ สีท้องฟ้าก็ค่อยๆ ไร้ซึ่งแสงสว่างเพราะเสี้ยวใบหน้าของเทพเจ้าองค์นี้
เงามืดของอาทิตย์ตกดินคล้ายกับหมอกควันสีดำ แผ่ซ่านเข้าไปในซากปรักหักพังเมือง ครอบคลุมแผ่นดินใหญ่ราวกับจะกลืนกินมันทั้งหมด
ฝนตกหนักขึ้นแล้ว
ม่านราตรีอันมืดมิดค่อยๆ กลืนกินสรรพสิ่ง สายลมก็ส่งเสียงครืนครันหวีดแหลมออกมาเป็นระยะราวกับเป็นการแผดเสียงคำรามของปีศาจร้ายร้องเรียกตัวตนประหลาดมาในเมืองแห่งนี้เช่นกัน เสียงที่ทำให้รู้สึกขนลุกชูชันสะท้อนก้องต่อเนื่องราวกับดูดเอาจิตวิญญาณของผู้คนไป เด็กหนุ่มที่วิ่งทะยานอยู่ก็เร่งฝีเท้าขึ้น ท่าทางก็ดูเปลี่ยนเป็นร้อนอกร้อนใจ ระหว่างที่ม่านราตรีอันมืดมิดไล่หลังมาใกล้เช่นนี้ เขาก็พุ่งผ่านถนนทีละเส้นอย่างคล่องแคล่วปราดเปรียว
จนกระทั่งเขาผ่านบ้านเรือนหลังหนึ่งที่พังเสียหายไปแล้ว ตอนคิดจะยืมแรงเพื่อกระโจนร่าง ดวงตาของเด็กหนุ่มก็หดเล็กลงฉับพลัน
เขาเห็นว่าท่ามกลางกำแพงที่ถล่มห่างออกไปไม่มากนัก เหมือนจะมีคนอยู่
มองไกลๆ คนผู้นี้สวมเสื้อผ้าเรียบร้อยเหมือนไม่ได้รับบาดเจ็บ นั่งพิงกำแพงอยู่ตรงนั้น
สำคัญที่สุดก็คือส่วนผิวหนังที่เปิดเผยออกมาด้านนอกกลับมีสีปกติ ไม่ใช่สีดำคล้ำ!
เงาร่างในเมืองเช่นนี้ ถ้าไม่ใช่คนเป็น ก็ไม่มีทางปรากฏออกมาเด็ดขาด!
แล้วคนเป็น…ในช่วงหลายวันมานี้ นอกจากตัวเด็กหนุ่มเองก็ยังไม่เห็นใครคนอื่นอีกเลย
ภาพฉากนี้ทำเอาเขาใจสั่น เหมือนจะฉุกคิดอะไรได้กะทันหัน ลมหายใจก็เหมือนจะเร่งถี่ขึ้น
อยากตรงเข้าไปดูเสียเหลือเกิน แต่ม่านราตรีอันมืดมิดที่เหมือนหมอกควันก็ไล่หลังเข้ามา
เด็กหนุ่มลังเล จดจำตำแหน่งนี้เอาไว้ แล้วรีบจากไปอย่างรวดเร็ว
ห้อทะยานมาตลอดทาง ก่อนที่ม่านราตรีอันมืดมิดจะไล่มาทัน เด็กหนุ่มก็กลับมาถึงที่พักชั่วคราวของตนในเมืองแห่งนี้ได้ในที่สุด


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา