บทที่ 101 หนีจากภัยพิบัติ
บรรพจารย์สำนักวัชระปลงอนิจจังสะอึกสะอื้นอยู่ทางนี้ แน่นอนว่าสวี่ชิงมองไม่เห็น
เวลานี้สวี่ชิงก็ซื้อที่พักแห่งหนึ่งในฐานที่มั่นนี้อย่างรู้ทางหนีทีไล่ ใช้พักผ่อนชั่วคราว
และแม้ฐานที่มั่นคนเก็บกวาดจะมีเงื่อนไขที่พักของคนนอกสิทธิ์ระดับหนึ่ง แต่ถ้าหากตนเองมีพลังที่ไม่อ่อนแอแล้วล่ะก็ กฎเกณฑ์ทั้งหมดก็จะไม่ถือเป็นกฎเกณฑ์อีกต่อไป
ดังนั้นหลังจากที่พลังวิญญาณรวมปราณขั้นสามสลายไป เขาก็ซื้อบ้านไม้หลังหนึ่งมาอย่างราบรื่น ขณะเดียวกันเมื่อเผยกำลังในการซื้อออกมา จึงดึงดูดเอาคนเก็บกวาดที่เจตนาไม่ดีมาสองคน
และเพียงไม่นานสวี่ชิงก็นำศีรษะของพวกเขาไปแขวนไว้ที่ประตู
คนทั้งหมดในฐานที่มั่นคนเก็บกวาดจึงยอมรับการเข้ามาของสวี่ชิงได้เช่นนี้ ตามเวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า แม้ว่าจะเริ่มมีคนมาให้ความสำคัญกับเขา แต่การแสดงออกในวันปกติของสวี่ชิง ไม่แตกต่างอะไรกับคนเก็บกวาดคนอื่นๆ
จะสังหารคนก็ดี จะออกไปทำภารกิจด้านนอกก็ดี หรือจะซื้อลูกกลอนขาวก็ดี กระทั่งปฏิกิริยาตามสัญชาตญาณที่สลักความระแวดระวังไว้ในจิตวิญญาณขณะที่เดินเตร่อยู่ในฐานที่มั่น ก็ล้วนพิสูจน์แล้วว่านี่เป็นคนเก็บกวาดที่แท้จริงคนหนึ่ง
ดังนั้นจึงค่อยๆ ไม่มีคนสนใจคนนอกอย่างเขาสักเท่าไร ถึงอย่างไรคนเก็บกวาดแปลกหน้าในพื้นที่รกร้างก็มีอยู่มากมาย จะต้องมีคนที่อาศัยอยู่ด้านนอกมานาน และอยากจะเข้ามาหาสถานที่พักผ่อนบ้างอยู่แล้ว
และทุกวันสวี่ชิงก็ออกไปสำรวจยังสำนักวัชระอย่างระมัดระวังขณะอำพรางกายเช่นนี้ ช่วงนี้เขาเองก็เห็นศิษย์สำนักวัชระบนภูเขาบางส่วนลงมาหาความสำราญในฐานที่มั่นคนเก็บกวาดแห่งนี้
การปรากฏตัวของพวกเขา ทำให้เหล่าคนเก็บกวาดโมโหแต่พูดอะไรไม่ได้ ส่วนใหญ่ล้วนเผยสีหน้าประจบเอาใจกันออกมา
ในนี้มีศิษย์ที่ลงจากภูเขาที่สวี่ชิงคุ้นหน้าคุ้นตาหลายคน
น่าจะเป็นคนที่เคยเห็นตอนที่เขาไปปล่อยพิษกับวางเพลิงเมื่อครั้งนั้นในความทรงจำ
ถึงแม้ตอนที่พวกเขาแต่ละคนเข้ามาในฐานที่มั่นคนเก็บกวาดจะมีสีหน้าหยิ่งทะนง แต่ความลังเลและความจำใจที่ซ่อนอยู่ก็ยังเผยออกมาจากดวงตาพวกเขาจนถูกสวี่ชิงจับได้
นอกเหนือจากนี้ สวี่ชิงก็ค่อยๆ สืบข้อมูลของสำนักวัชระได้มากขึ้นตามการไหลผ่านไปของกาลเวลา ในฐานะที่เป็นสำนักที่ย้ายมาได้ไม่นานนัก เมื่อเคลื่อนไหวนิดหน่อยก็จะถูกคนเก็บกวาดให้ความสนใจ
ดังนั้นหลังจากผ่านไปครึ่งเดือน สวี่ชิงจึงเข้าใจสถานการณ์ช่วงนี้ของสำนักวัชระมากพอสมควร
‘สำนักเหลืออยู่ไม่ถึงหนึ่งร้อยคนแล้ว
‘ผู้อาวุโสเจ็ดคนออกไปแล้วสี่ ตอนนี้เหลือเพียงสามคน นอกจากพวกเขาแล้ว ยังมีเจ้าสำนักอีกคนหนึ่ง ลูกน้องที่แข็งแกร่งของบรรพจารย์สำนักวัชระเวลานี้เหลือเพียงสี่คนแล้ว
‘เข้าร่วมกับลัทธินอกวิถี รับการคุ้มครองจากลัทธินอกวิถี…’
สวี่ชิงนั่งขัดสมาธิวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้รับมาช่วงครึ่งเดือนนี้อยู่ในที่พัก เขามีความอดทนมาก โดยเฉพาะตอนที่เผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งระดับสร้างฐานคนหนึ่ง ต่อให้เขารู้สึกว่าพลังของตนเองสามารถเอาชนะได้ แต่ถึงอย่างไรก็ยังไม่เข้าไปสู้ด้วย
ดังนั้นความระมัดระวังของสวี่ชิงจึงเหมือนกับที่ผ่านมา ต่อให้วิเคราะห์เบาะแสเหล่านี้ไปแล้ว ก็ยังไม่ลงมือ แต่ยังเฝ้ารอต่อไป จนผ่านไปครึ่งเดือน เขาก็ได้รับข้อมูลที่ทำให้ดวงตาเปล่งประกายจากบทสนทนาของศิษย์สำนักวัชระที่ลงเขามาสองคนโดยไม่ตั้งใจ
“บรรพจารย์ก็ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่เสียเหลือเกิน…ทุกครั้งที่คนที่เขาเชิญมาถึง ก็ต้องให้พวกเราลงเขามาอยู่เรื่อย แสร้งเผยแพร่ข้อมูลของสำนักออกไปรอบๆ ฐานที่มั่นคนเก็บกวาดโดยไม่ตั้งใจ มันจำเป็นหรือนั่น”
“จริงด้วย นี่ก็ครึ่งปีมาแล้ว ยังไม่เห็นเด็กน้อยเข้ามาฮุบเหยื่อเลย เฮ้อ โดยเฉพาะท่านบรรพจารย์ก็เชิญสหายมาเสียบ่อย พอคนหนึ่งกลับไปอีกคนก็เข้ามาทันที การกระจายข่าวของพวกเราก็ถี่เกินไปแล้ว”
“ช่วยไม่ได้…คำสั่งบรรพจารย์ ใครกล้าไม่ฟังบ้าง”
นี่คือบทสนทนาที่สวี่ชิงแอบสะกดรอยศิษย์สำนักวัชระสองคนแล้วได้ยินมาก่อนที่พวกเขาจะกลับขึ้นเขาในค่ำคืนของวันหนึ่ง หลังจากสวี่ชิงได้ฟังแล้วก็กลับไปฐานที่มั่นอย่างไม่กระโตกกระตาก หลังจากนั้นไม่กี่วัน ในใจเขาก็ยิ่งระแวดระวังขึ้น การสังเกตก็ยิ่งละเอียดมากขึ้น
จนหลังจากที่เขาอาศัยอยู่ในฐานที่มั่นคนเก็บกวาดไปแล้วครึ่งเดือน ในที่สุดในช่วงเย็นของวันนี้ สวี่ชิงที่กำลังแอบสืบอยู่ใกล้ๆ สำนักวัชระ ก็มองเห็นสายรุ้งยาวสายหนึ่ง ทะยานอากาศออกไปจากยอดเขาสำนักวัชระที่อยู่ไม่ไกลออกไปนัก
และเหมือนบนยอดเขามีคนมายืนส่งอยู่รางๆ
สวี่ชิงเก็บสายตา เก็บความดุดันในดวงตาลง หมุนตัวกลับไปยังที่พักในฐานที่มั่น เริ่มจัดระเบียบอาวุธกับผงพิษของตนเอง จากนั้นจึงมองไปยังสีท้องฟ้าด้านนอก เฝ้ารออยู่เงียบๆ
ขณะเดียวกัน นอกตำหนักใหญ่บนยอดเขาของสำนักวัชระ บรรพจารย์สำนักวัชระมองไปยังสหายเต๋าที่ห่างออกไป ในใจก็ถอนหายใจ ถึงอย่างไรก็คงไม่ดีนักที่เขาจะอยู่ที่นี่นานๆ ตอนที่เขาหันหลังเดินกลับไปยังตำหนักใหญ่ เขาก็เริ่มครุ่นคิดว่าต่อไปควรจะเชิญใครมา
“อีกไม่นาน ยาลูกกลอนข้าก็จะสำเร็จแล้ว ถึงตอนนั้นพอข้ากินเข้าไปและทะลวงช่องเวทที่สามสิบ สำเร็จไฟชีวิตดวงที่หนึ่ง มีความสามารถที่จะเริ่มสภาวะแสงนภา ถึงตอนนั้น…ข้าก็สามารถโล่งใจได้แล้ว”
ระหว่างที่พึมพำ บรรพจารย์สำนักวัชระก็หายเข้าไปในตำหนักใหญ่
สีท้องฟ้าด้านนอกค่อยๆ มืดสลัวจากแสงสายัณห์ที่หม่นลง สายลมหนาวเย็นพัดอื้ออึง พัดกวาดไปยังฐานที่มั่นคนเก็บกวาดแรงขึ้นเรื่อยๆ
ฝุ่นดินบนพื้นถูกแช่จนแข็งเพราะอากาศที่หนาวเย็นจึงไม่ถูกพัดกระพือขึ้น มีเพียงเศษขยะบางส่วนที่ถูกลมพัดจนเคลื่อนไหว ขณะที่ส่งเสียงวูมๆ ลมหนาวก็พัดมายังร่างของเหล่าเด็กน้อยบางคนที่ขดตัวเป็นเต่าอยู่ในฐานที่มั่น

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา