บทที่ 106 เจ้าใบ้น้อย
เมืองหลักเจ็ดเนตรโลหิต
ในเมืองแถบชายฝั่ง ลมเหมันต์มาพร้อมกับความอ่อนโยนพัดไปทั่วทุกมุมถนน
ความอ่อนโยนเปียกชื้นไม่เหมือนกับความหนาวเย็นเยียบที่ทุ่งสีชาด ทำให้ทีแรกยากจะรู้สึก จวบจนเมื่อแทรกซึมเข้ากระดูก หลังจากที่ความเย็นเยือกค่อยๆ แผ่จากภายในสู่ภายนอกถึงจะรู้สึก
และเมื่อถึงตอนนั้นหากอยากจะต้านทานก็ไม่ทันแล้ว
เหมือนกับลูกศิษย์สำนักเจ็ดเนตรโลหิตล่างเขาที่ใต้ใบหน้ายิ้มแย้มซ่อนเอาไว้ด้วยความโหดเหี้ยม ราวซ่อนเข็มไว้ในผ้าไหม
นี่เป็นฐานที่มั่นของยอดเขาที่เจ็ดเป็นหลัก
ลูกศิษย์ยอดเขาที่เจ็ดเหมือนจะมีพรสวรรค์ทางด้านนี้นิดๆ กันทั้งนั้น พวกเขาเชี่ยวชาญการเก็บซ่อน พวกเขาไม่เอาเกียรติศักดิ์ศรีลวงตาพวกนั้นก็ได้ พวกเขาเอาประโยชน์วางไว้บนจุดสูงสุด จุดนี้ให้ความรู้สึกสวี่ชิงลึกล้ำมาก
ต่อให้เป็นเขาในตอนนี้นับได้ว่าหลอมรวมไปในสภาพแวดล้อมเมืองหลักเจ็ดเนตรโลหิตแล้ว อีกทั้งตามการยกระดับของพลังบำเพ็ญ อาศัยวิธีที่เหี้ยมโหดทำให้ตัวเองยืนได้อย่างมั่นคงในสำนักเจ็ดเนตรโลหิตแล้ว เรื่องอันตรายที่ได้เจอลดลง ทั้งยังมีชื่อเสียงบารมี
แต่ความระมัดระวังและความรอบคอบของเขาไม่เคยลดลงแม้แต่นิดเดียวเลย
เพราะสวี่ชิงรู้ดีว่าในลูกศิษย์ระดับรวมปราณของยอดเขาที่เจ็ด การทำร้ายสังหารกันเองของผู้บำเพ็ญระดับต่ำก็มักจะมองเห็นได้จากด้านใดด้านหนึ่ง ส่วนในผู้บำเพ็ญระดับสูง โดยเฉพาะเมื่อถึงขั้นเก้า ขั้นสิบแล้ว ส่วนมากล้วนจิตใจลึกเกินหยั่งกันทั้งนั้น
พวกเขาเชี่ยวชาญการแสดง ยิ่งเชี่ยวชาญการสะกดอดกลั้น เหมือนงูพิษที่ซ่อนอยู่ในความมืด หากถูกพวกมันจ้องแล้ว หลายครั้งที่ตายแล้วก็ยังหาศัตรูที่แท้จริงไม่เจอ
ความจริงแล้วไม่ใช่แค่คนพวกนี้เท่านั้น ผู้บำเพ็ญที่กระเสือกกระสนดิ้นรนมาจากเมืองหลักทะลวงขั้นมาจนถึงระดับสร้างฐานเหล่านั้น พวกเขายิ่งชำนาญด้านนี้มากยิ่งกว่า
ยกตัวอย่างเช่นองค์ชายสาม…
ตอนนี้สวี่ชิงเดินอยู่ในเมืองหลักเจ็ดเนตรโลหิต สีหน้าดูเหมือนสงบนิ่ง แต่ในใจเต็มไปด้วยความระแวดระวัง รูปลักษณ์ก็ยังไม่ได้เปลี่ยนกลับคืน
เขาเดินอยู่ในเมืองหลักแห่งนี้มาครึ่งค่อนวันแล้ว ที่ที่ไปส่วนมากล้วนเป็นสถานที่ที่คนค่อนข้างเยอะ สังเกตรอบๆ ไม่หยุด คอยฟังทุกอย่างไม่หยุด
เขากำลังหาร่องรอยที่อาจจะมีอยู่บางอย่าง พิสูจน์ว่าเรื่องขององค์ชายสามกับเผ่าเงือกสงบจริงหรือไม่ และเขาก็มีความอดทนต่อการสังเกตเช่นนี้เป็นอย่างมาก เดินตั้งแต่เช้าจนมืด
ยามราตรีมาเยือน สวี่ชิงก็ยังไม่แปลงร่างกลับสู่สภาพเดิม กระทั่งว่าการกลับมาครั้งนี้ ก็ไม่ใช้ป้ายฐานะของตัวเอง แต่ใช้แผ่นหยกที่ไม่ได้ลงชื่อ
แผ่นหยกไม่ลงชื่อของสำนักเจ็ดเนตรโลหิตกลายเป็นโซ่อุปทานเส้นหนึ่งไปแล้ว คนที่ต้องการมีไม่น้อยเลย กลายเป็นตัวเลือกแรกของพวกคนร้ายและคนที่ไม่สะดวกจะแสดงตัวตน
เพียงแต่ราคาสูงมาก แต่ประโยชน์ก็มีมากมายสอดคล้องกับราคา ข้อดีหนึ่งในนั้นที่ดึงดูดคนมากที่สุดก็คือการอำพรางกาย
สำนักเจ็ดเนตรโลหิตลืมตาข้างหลับตาข้างกับเรื่องนี้ แม้จะทำการสุ่มตรวจบ้างเป็นบางครั้ง แต่หลายครั้งก็ไม่ได้สนใจ แน่นอนว่าเงื่อนไขคือจะต้องไม่แตะกฎและไม่ล้ำเส้นของสำนักเจ็ดเนตรโลหิต
คนร้ายประกาศจับที่สวี่ชิงฆ่ามีมากมายเหลือเกิน จึงมีแผ่นหยกประเภทนี้อยู่บ้างในตัว ดังนั้นตอนกลางคืนเขาจึงหาโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งที่เปิดอยู่แล้วเข้าไปพัก
เวลาก็ไหลไปเช่นนี้ ไม่นานก็ผ่านไปสามวัน
ในสามวันนี้สวี่ชิงทำการสืบข่าวหลายครั้ง ทำความเข้าใจในทุกด้าน กระทั่งว่าใช้เหรียญวิญญาณจำนวนหนึ่งซื้อรายงานข่าวที่เกี่ยวกับสำนักเจ็ดเนตรโลหิต แต่ก็ไม่เจอร่องรอยใดๆ ในนั้น
เหมือนว่าเรื่องเผ่าเงือกไม่มีเหตุการณ์อะไรต่อ ส่วนทางองค์ชายสามทางนั้นก็ไม่ได้สืบสาวราวเรื่องอะไรจริงๆ
ในขณะเดียวกัน เรื่องที่ลูกศิษย์สำนักเจ็ดเนตรโลหิตวิพากษ์วิจารณ์กันมากที่สุดในช่วงนี้คือเรื่องการแข่งขันครั้งใหญ่ของยอดเขาที่เจ็ด
สวี่ชิงได้ยินเรื่องนี้หลายต่อหลายครั้งในสามวันมานี้ รายงานข่าวที่ซื้อส่วนมากก็เกี่ยวกับเรื่องการแข่งขันครั้งใหญ่
เหมือนว่าความสนใจของลูกศิษย์ในสำนักเจ็ดเนตรโลหิตทุกคนล้วนอยู่ที่เรื่องนี้
หลังจากที่สวี่ชิงขบคิดเรื่องนี้ ในดวงตาก็ฉายแววล้ำลึกออกมา
การแข่งขันครั้งใหญ่ของยอดเขาที่เจ็ดแห่งสำนักเจ็ดเนตรโลหิตสามสิบปีจะจัดครั้งหนึ่ง พิเศษเป็นอย่างมาก การเลือกสนามสู้มักจะเป็นเขตใดสักเขตที่โลกภายนอก อีกทั้งระหว่างการแข่งขันโหดร้ายและเหี้ยมโหดมาก
เหมือนอย่างเมื่อสามสิบปีก่อน สนามศึกที่เลือกคือเกาะเงือก
หลังจากที่ทำการแข่งขันครั้งใหญ่แบบสยบกำราบที่นั่น เผ่าเงือกก็กลายมาเป็นพันธมิตรกับเผ่ามนุษย์
และเป้าหมายของครั้งนี้ก็กำหนดแล้ว เป็นต่างเผ่าขนาดเล็กเผ่าหนึ่งบนหมู่เกาะปะการังตะวันตก ต่างเผ่าเผ่านี้ชื่อว่าเผ่าวิญญาณเหนือ คนในเผ่าล้วนแต่โหดเหี้ยมกระหายเลือด อีกทั้งทั้งเผ่าล้วนเป็นโจรสลัด
เบื้องหลังพึ่งพิงต่างเผ่าที่ขนาดค่อนข้างใหญ่หลายเผ่า ในขณะเดียวกับที่มอบทรัพยากรแลกกับการปกป้องคุ้มครอง ก็เหิมเกริมอยู่ในทะเลต้องห้าม เป็นภัยคุกคามอย่างแสนสาหัสต่อเรือสินค้าที่เดินทางผ่าน โดยเฉพาะเรือสินค้าของเจ็ดเนตรโลหิต ในช่วงนี้ถูกพวกเขาปล้นบ้างแล้ว
เรื่องนี้สร้างความโกรธเดือดดาลให้กับสำนักเจ็ดเนตรโลหิตมาก ดังนั้นต่อให้อีกฝ่ายจะคืนกลับมาให้อย่างรวดเร็ว แต่พอดีกับช่วงการแข่งขันครั้งใหญ่ยอดเขาที่เจ็ดพอดี ตำแหน่งการแข่งขันครั้งใหญ่ครั้งนี้จึงกำหนดไว้ที่เกาะวิญญาณเหนือแห่งนี้
เรื่องนี้สร้างความสนใจให้กับลูกศิษย์สำนักเจ็ดเนตรโลหิตเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะลูกศิษย์ยอดเขาที่เจ็ดยิ่งเตรียมหมัดรอแล้ว คนที่มีคุณสมบัติเข้าร่วมล้วนเตรียมตัวกัน ทำให้ราคาทรัพยากรฝึกบำเพ็ญที่ท่าเรือพุ่งสูงขึ้นอีกประมาณสองเท่าทันที
คุณสมบัติของผู้เข้าร่วมและกฎเกณฑ์ทางสำนักก็ได้ประกาศออกมาแล้ว
ยอดเขาที่เจ็ดมีทั้งหมดสิบสามหน่วย ทุกหน่วยจะเลือกออกมาประมาณสี่ร้อยคน รวมตัวกันเป็นกลุ่มผู้บำเพ็ญประมาณห้าพันกว่าคน เป็นผู้ได้รับเลือกของการแข่งขันครั้งใหญ่ครั้งนี้
สำหรับสิบสามหน่วย ความยากในการเลือกคนสี่ร้อยคนไม่ใช่ปัญหาเรื่องคน
ความจริงแล้วลูกศิษย์ของทุกหน่วยมีจำนวนมหาศาล หน่วยใหญ่มีถึงหลายพันคน หน่วยเล็กก็มีเกือบๆ พัน
สิ่งที่ทำให้ความยากเพิ่มขึ้นคือคนที่อยากเข้าร่วมมีมากเหลือเกิน
เป็นเพราะรางวัลของการแข่งขันครั้งใหญ่มูลค่าสูงเป็นอย่างมาก กฎคือทุกครั้งที่ฆ่าผู้บำเพ็ญวิญญาณเหนือได้หนึ่งคนจะได้หนึ่งหมื่นแต้มอุทิศ และนี่เป็นแค่พื้นฐานเท่านั้น ยิ่งพลังบำเพ็ญของศัตรูสูง รางวัลก็จะยิ่งมาก
ป้ายฐานะจะทำการบันทึกเอง เมื่อการแข่งขันครั้งใหญ่จบลงก็จะรวบรวมมอบให้ทีเดียว เงินเท่านี้มากพอจะทำให้ลูกศิษย์ที่ต้องดิ้นรนในเรื่องทรัพยากรบำเพ็ญฮึกเหิม
และยิ่งที่ให้คนต้องสูดลมหายใจกระทั่งว่าบ้าคลั่งคือ รางวัลของคนที่ได้ที่หนึ่งในการแข่งขันครั้งใหญ่ครั้งนี้
ฐานะศิษย์หลัก!

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา