บทที่ 129 ออกไปสร้างฐานด้านนอก!
เมืองหลักเจ็ดเนตรโลหิต แสงจันทร์ราวเม็ดทราย แผ่ซ่านบนพื้นดิน
สวี่ชิงเหยียบแสงจันทร์ เดินตรงไปเบื้องหน้า
แม้ว่าตอนนี้พลังบำเพ็ญจะไปถึงรวมปราณขั้นบริบูรณ์แล้ว แต่อาการบาดเจ็บก่อนหน้ายังคงอยู่ ดังนั้นความระแวดระวังของสวี่ชิงจึงเป็นเช่นเดียวกับตอนที่เพิ่งมาถึงเมืองเจ็ดเนตรโลหิตในครั้งนั้น
โดยเฉพาะตอนนี้บนตัวก็มีตะเกียงแห่งชีวิตอยู่ สิ่งนี้ทำให้ความระแวดระวังของสวี่ชิงพุ่งถึงขีดสุด มือขวาแกว่งไกวอย่างเป็นธรรมชาติตามการเคลื่อนที่ไปด้านหน้า แต่อันที่จริงหากมีสายลมพัดหญ้าไหวอะไรขึ้นมา ท่วงท่าของเขาตอนนี้สามารถทำให้เขาหยิบเหล็กแหลมสีดำออกมาได้ในพริบตา
นี่เป็นประสบการณ์ที่สวี่ชิงเรียนรู้มาในเมืองเจ็ดเนตรโลหิต การซ่อนเข็มไว้ใต้ผ้าไหมจึงจะเป็นวิธีเอาชีวิตรอดอย่างแท้จริง นอกเสียจากจะมีเป้าหมายอื่น มิเช่นนั้นจะสำแดงคมแหลมออกมาไม่ได้ภายใต้นิสัยที่ไม่ใส่ใจ
นอกเหนือจากนี้ ประสบการณ์จากสำนักเจ็ดเนตรโลหิต ก็ทำให้สวี่ชิงเรียนรู้วิธีที่ว่ายิ่งระแวดระวังร่างกายก็จะยิ่งผ่อนคลาย
เพราะเขาพบว่าตอนที่อยู่ในถ้ำยาจกรวมถึงฐานที่มั่นคนเก็บกวาดในอดีต ร่างกายตื่นตัวในสภาพความตึงเครียดของตนเองที่ดูเหมือนจะออกโจมตีได้ในพริบตา แต่อันที่จริงก็ยังช้าอยู่บ้าง
วิธีการที่ถูกต้องคือร่างกายต้องผ่อนคลาย ในใจเต็มไปด้วยความระแวดระวัง เมื่อเป็นเช่นนี้คนนอกก็จะมองไม่ออก และร่างกายตนเองขอแค่กระตุ้นความคิด ร่างกายก็สามารถออกการเคลื่อนไหวได้ในพริบตา
เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นทักษะที่เขาเรียนมา ไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัวก็เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของเขาไปมาก เพียงแต่สวี่ชิงอายุยังน้อย เขาในตอนนี้ทำแบบนายกองที่กระทั่งสีหน้าก็ยังปิดบังได้อย่างสมบูรณ์แบบไม่ได้
สวี่ชิงเองก็ไม่ได้ฝืนเลียนแบบ ทั้งหมดล้วนทำตามสัญชาตญาณของเขา ระหว่างที่ทะยานตอนนี้ เขาเข้าใกล้กรมขนส่งของจางซานขึ้นเรื่อยๆ
แต่ตอนผ่านซอยแห่งหนึ่ง เท้าของสวี่ชิงก็หยุดลงกะทันหัน หลังจากหันหน้ามอง ในดวงตามีประกายเย็นเยียบ
มุมที่ห่างออกไปมีเงาผอมเล็กเงาหนึ่งเดินออกมาช้าๆ ภายใต้การจับจ้องของสายตาเขา เป็นเด็กหนุ่มใบ้คนนั้นนั่นเอง
ชุดคลุมของเจ็ดเนตรโลหิตบนตัวยังคงหลวมโครก ด้านในมีชุดขนสุนัขอยู่ทำให้เขาดูอ้วนตุ๊ต๊ะ แต่ที่แตกต่างจากก่อนหน้าคือบนชุดนักพรตของเขามีตราเพิ่มขึ้นมาดวงหนึ่ง นั่นคือสัญลักษณ์ของสมาชิกกลุ่มอย่างเป็นทางการของกรมปราบพิฆาต
เขาปรากฏตัวขึ้นห่างๆ เหลือบมองสวี่ชิงผาดหนึ่งอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงคุกเข่าย่อตัวลง แสดงท่าทางที่ไม่ใช่เหมือนพร้อมโจมตี แต่เป็นเหมือนการติดตามและคอยคุ้มกันมากกว่า
สวี่ชิงจ้องเด็กหนุ่มใบ้เขม็ง มองเห็นตราบนชุดนักพรตของเขา สวี่ชิงเคยเห็นเด็กหนุ่มใบ้จากในเอกสารมาแล้ว รู้ว่าอีกฝ่ายสถนะแรกที่เข้ามาในกรมปราบพิฆาตคือผู้ช่วย เห็นได้ชัดว่าตอนนี้เปลี่ยนมาเป็นทางการแล้ว ดังนั้นจึงเอ่ยขึ้นแช่มช้า
“ข้าไม่ชอบให้มีคนติดตาม”
เด็กหนุ่มใบ้นิ่งเงียบ จากนั้นจึงค่อยๆ ถอย และหายไปในยามราตรีอีกครั้ง
ตอนนี้สวี่ชิงจึงเก็บสายตากลับ เขาไม่สนว่าอีกฝ่ายจะเจตนาดีหรือไม่ ตอนนี้เขาไม่มีอารมณ์ไปคิด แต่หากเขาแจ้งไปแล้ว อีกฝ่ายยังคงแอบติดตามตัวเองตามใจอก เช่นนั้นเขาก็คงต้องสังหารทิ้งแล้ว
ตอนนี้พอร่างกายโยกไหว สวี่ชิงก็มุ่งหน้าต่อ
ผ่านไปไม่นาน สวี่ชิงก็มาถึงกรมขนส่ง เห็นจางซานกำลังนับของจากที่ไกลๆ เห็นได้ชัดว่าหลังจากกลับจากการแข่งขันด้านนอก จางซานก็รู้สึกสนใจสมบัติเหล่านั้นของตนเองมาก กลัวว่าจะถูกคนขโมยไป
จางซานเห็นสวี่ชิง หลังจากกวักมือเรียกสวี่ชิงเขาก็นับเสร็จพอดี ล้วงยาสูบออกมาอย่างพึงพอใจ
“ศิษย์น้องสวี่ชิง เพิ่งกลับมาไม่ไปพักหรือ มาหาข้าทำไมกัน”
สวี่ชิงไม่ถามจางซานว่าเหตุใดจึงไม่นำสิ่งของใส่พวกถุงเก็บของอะไรแบบนั้น แต่ล้วงเอาเรือเวทของตนเองออกมา
พื้นดินก็สั่นสะเทือนขึ้นมาจากเสียงครืนครันที่เรือเวทร่วงลงพื้น ชิ้นส่วนอะไหล่ที่แขวนอยู่ก็ยังร่วงผลอยกระจัดกระจาย
“ซ่อมเรือเวท”
สวี่ชิงเอ่ยขึ้นอย่างใจเย็น
จางซานที่อยู่ข้างๆ ถลึงตาโตออกมา ยาสูบในมือก็ลืมหยิบมาสูบเสียแล้ว จ้องอย่าอึ้งๆ ไปยังเรือเวทครึ่งลำที่คุ้นเคยและไม่คุ้นเคยตรงหน้า
“ตอนที่พวกเราแข่งขันไม่ใช่พบกันมาแล้วหรือ พวกเราคอยคุ้มกันนายกองที่ศาลเจ้าด้วยกัน จากนั้นก็กลับมาด้วยกันนี่” สีหน้าจางซานมึนงงครู่หนึ่ง
“ถูกต้อง” สวี่ชิงมองจางซานอย่างประหลาดใจ
“ในเมื่อข้าไม่ได้หูฝาด ตอนที่เจอกันในการแข่งขันคือตัวเจ้าจริงๆ เช่นนั้นเจ้าบอกข้าหน่อยว่าเรือเวทลำนี้ทำไมจึงเป็นเช่นนี้ ให้ตายเถอะ นี่เป็นผลงานที่ยอดเยี่ยมที่สุดของข้าเลยนะ ข้าๆๆ…นี่ขนาดว่าผู้บำเพ็ญสร้างฐานลงมือก็ยังทำให้มันพังระดับนี้ได้ยากมากเลยนะ!!
“เจ้าทำให้เรือพังไปครึ่งลำขนาดนี้ได้อย่างไร เจ้าเอามันเป็นโล่หรือ” จางซานลูบหน้าอก ตอนนี้ความปวดใจของเขาเหมือนจะมากกว่าสวี่ชิงเสียอีก
เขาจำได้จริงๆ ว่าสวี่ชิงใช้เรือเวทในการแข่งขันครั้งใหญ่ กระแทกสิงซากสมุทรขนาดยักษ์นั่นไปทีหนึ่ง ตอนนั้นก็ยังสมบูรณ์ไร้รอยข่วน แต่ตอนนี้กลับถูกทำลายจนยับถึงเพียงนี้ นี่ทำให้เขารู้สึกไม่อยากเชื่อเลย นอกเสียจากจะไปทำเรื่องบ้าคลั่งอะไรสักอย่างแบบนายกอง…
คิดถึงจุดนี้ จู่ๆ จางซานก็ใจเต้น เขาย้อนคิดไปถึงตอนที่หนีออกจากเกาะจวีอิง หลังจากพบอีกครั้งก็เห็นถึงความล้มลุกคลุกคลานและความอ่อนแรงของอีกฝ่าย จึงสูดปาก
“เจ้าคงไม่ได้ไปทำเรื่องบ้าคลั่งแบบที่นายกองทำใช่หรือไม่”
สวี่ชิงส่ายหัว
“ศิษย์พี่จางซาน ซ่อมเรือต้องใช้เวลานานเท่าไร”
จางซานมองไปทางเรือเวท ถอนหายใจยาว
“เอาล่ะเอาล่ะ ครั้งที่แล้วเจ้าเอาเรือเร็วลำหนึ่งกลับไป พอเทียบกับครั้งนี้ ครั้งนี้ก็ยังดีหน่อย อย่างน้อยเรือเวทก็ยังเหลืออยู่ครึ่งหนึ่ง…
“แต่ว่าไม่สามารถซ่อมได้ในระยะเวลาสั้นๆ พรุ่งนี้ข้าต้องไปข้างนอกกับนายกองรอบหนึ่ง เขาให้ข้าแบกเขาไปที่ใดสักที่เพื่อฟื้นฟูอาการบาดเจ็บ บอกว่าข้าไปสร้างฐานที่นั่นได้
“ถ้าเจ้าไม่รีบล่ะก็ รอข้าสร้างฐานกลับมาแล้วหลอมให้เจ้าใหม่ หลังจากสร้างฐานถ้าหลอมออกมาต้องดีกว่าแน่ๆ ยิ่งไปกว่านั้น นายกองยังได้รับชิ้นเนื้อมา ถึงตอนนั้นก็สามารถวางไว้ในเรือลำใหม่แทนที่ต้นกำเนิดพลังชั่วคราวได้”
จางซานเดินวนมองเรือเวทของสวี่ชิงรอบหนึ่ง ถอยหายใจเอ่ยขึ้นอย่างยอมรับโชคชะตา
สวี่ชิงคิดๆ จากนั้นจึงผงกหัว ไม่ถามถึงเรื่องการสร้างฐานของอีกฝ่าย เรื่องนี้ไม่ว่าจะมีความสัมพันธ์เช่นไร การถามไถ่ไปถือเป็นเรื่องต้องห้าม
ดังนั้นจึงประสานหมัดบอกลา
ตอนนี้มืดมากแล้ว และค่ายกลส่งข้ามของเจ็ดเนตรโลหิต นอกเสียจากจะจำเป็นจริงๆ ก็จะไม่เปิดใช้งาน ดังนั้นหลังจากสวี่ชิงครุ่นคิดก็เลือกไม่ไปโรงเตี๊ยม แต่ไปยังกรมปราบพิฆาตแทน
หลังจากเลื่อนขั้นเป็นรองนายกอง เขาก็มีห้องของตนเองห้องหนึ่งในหน่วยนิลกาฬของกรมปราบพิฆาต


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา