บทที่ 166 ยอดเขาที่เจ็ดคือบ้านของนาง…
เสียงนี้ศักดิ์สิทธิ์ ฉายความสูงส่งไร้มลทินกลุ่มหนึ่งออกมา
ยิ่งแฝงไว้ด้วยความความเย็นยะเยือก ในชั่วขณะที่ดังเข้ามาในหูสวี่ชิงก็กลายเป็นน้ำแข็งแผ่ลามขึ้นในจิตใจของเขา ทั้งยังแผ่ซ่านไปทั่วร่าง กลายเป็นความหนาวเหน็บที่ทำให้คนต้องสั่นสะท้าน
สวี่ชิงร่างเทิ้ม พ่นไอขาวออกมา คิ้วและผมในตอนนี้เริ่มมีน้ำแข็งเกาะ ทั่วทั้งร่างแข็งทื่อในพริบตา คล้ายเจอกับสิ่งแปลกประหลาดที่ไม่อาจต้านทานได้
เขากระทั่งว่ารู้สึกเหมือนมิติรอบๆ เกิดรอยแยกเป็นทางๆ พันล้อมรอบเขา เหมือนผนึกแช่แข็ง
ช่องเวททั้งสี่สิบสี่ช่องในร่างยิ่งไม่ต้องพูดถึง
เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าช่องเวทในร่างเปลี่ยนมานิ่งสนิท พลังเวทในนั้นก็เช่นกัน ในขณะเดียวกับที่โคจรได้ช้าเนิบมาก กระแสวนพลังวิญญาณก็เป็นเช่นนั้นเช่นกัน
ส่วนไฟชีวิต…
ในสภาวะเช่นนี้ ไฟชีวิตไม่มีทางจุดติด!
ภาพนี้ทำให้จิตใจของสวี่ชิงซัดโหมรุนแรง ความรู้สึกปลอดภัยที่ได้รับจากการเปิดไฟชีวิตก่อนหน้านี้หายไปทันที และทำให้เขาตระหนักได้อย่างลึกซึ้งว่า สำหรับผู้แข็งแกร่งแล้ว ควบคุมสภาวะแสงนภานั้นง่ายดายราวพลิกฝ่ามือ
แต่สวี่ชิงก็ใช่ว่าจะไร้ซึ่งแรงต้านทานใดๆ ตอนนี้ในเสี้ยวขณะที่ทั่วร่างหนาวยะเยือก เขาก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่หลงเหลืออยู่จากตะเกียงแห่งชีวิต
ความอบอุ่นนี้ไม่ได้หายไปโดยสิ้นเชิงจากความเย็นเยือกข้างนอก บางทีอาจจะมีโอกาสฝืนจุดไฟชีวิตได้
ความคิดนี้ทำให้ความระแวดระวังในใจสวี่ชิงรุนแรงขึ้น เขารู้เป็นอย่างดีว่าตัวเองจะให้คนอื่นรู้เรื่องตะเกียงแห่งไฟชีวิตไม่ได้ ดังนั้นหลังจากที่มั่นใจว่าเงาของตนยังคงปกปิดตะเกียงแห่งชีวิตอยู่ เขาก็สูดลมหายใจลึก หันไปมองข้างหลังอย่างยากลำบาก
ในเสี้ยวขณะที่หันมา เขาก็เห็นตรงนั้นมีสตรีสองคนปรากฏขึ้นไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร คนหนึ่งเป็นหญิงวัยกลางคน อีกคนหนึ่งเป็นเด็กสาว
สตรีกลางคนสวมชุดชาววังสีแดง บนนั้นปักลายหมู่ผีเสื้อและดอกไม้อันวิจิตรปราณีตด้วยเส้นไหมทองม่วง ขับเน้นให้หรูหราสูงส่งไม่ธรรมดา ประดุจดวงอาทิตย์กล้ากลางฟ้า
แต่กลิ่นอายเย็นยะเยือกที่ไม่อาจละลายได้ทั่วร่างและความเย็นชาบนใบหน้าก็เด่นชัดเช่นกัน โดยเฉพาะดวงตาหงส์คู่นั้นที่ลึกล้ำประดุจน้ำพุในบ่อโบราณที่มองไปไม่เห็นก้น
คล้ายว่าทุกสิ่งที่สายตามองไปล้วนจับกลายเป็นน้ำแข็งไปเสียสิ้น และหากถูกมันมองอยู่นานก็จะได้รับผลกระทบไปจนถึงวิญญาณ
และตอนนี้นางกำลังจ้องสวี่ชิงอยู่
อาภรณ์บนร่างของนางไม่ใช่ชุดของยอดเขาใดๆ ทั้งนั้น และสวี่ชิงก็ไม่เคยเห็นอีกฝ่ายในสำนักเจ็ดเนตรโลหิตเช่นกัน แต่เด็กสาวข้างกายนางคนนั้น สวี่ชิงรู้จัก
เด็กสาวสวมชุดนักพรตสีม่วงอ่อนใหญ่โคร่งเหมือนกระโปรงยาว ข้างหลังแบกกระบี่เล่มใหญ่เอาไว้ ผมมัดเป็นหางม้า ในขณะเดียวกับที่ดูองอาจสง่างามก็เผยให้เห็นผิวขาวเนียนอมชมพูที่เผยออกมาข้างนอก
ทั้งคนดูแล้วทั้งงามสง่าแต่ก็ไม่ขาดความอ่อนหวาน โดยเฉพาะตอนนี้ยังยิ้มมา ทำให้ดวงตาทั้งสองโค้งเป็นจันทร์เสี้ยว ในขณะเดียวกับที่ดูน่ารัก ดวงตาก็แวววาวเป็นประกาย
เป็นติงเสวี่ยนั่นเอง
นางมองสวี่ชิง ดวงตางามกะพริบ สีหน้าเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม
“ศิษย์พี่สวี่ นี่คือน้าของข้า นางคือรองเจ้ายอดเขาที่เจ็ดช่วยเหลือน้าเขยของข้าดูแลยอดเขาที่เจ็ด” ติงเสวี่ยเอ่ยเสียงเบา น้ำเสียงแฝงด้วยการเตือน
“ศิษย์สวี่ชิง คารวะรองเจ้ายอดเขา”
ถูกน้าของติงเสวี่ยมองมา สวี่ชิงสามารถสัมผัสได้ถึงความเย็นเยียบที่แผ่จากภายในสู่ภายนอกรุนแรงขึ้น ดีที่ตัวเขาเองก็มีรากฐานพลังที่ไม่ธรรมดา ตอนนี้อยู่ภายในสายตาของหญิงวัยกลางคนผู้นี้แม้จะได้รับอิทธิพลอย่างรุนแรง แต่ก็ยังแสดงทีท่าเป็นปรกติ ดังนั้นจึงประสานหมัดทำความเคารพน้าของติงเสวี่ยในขณะที่ได้ยินคำพูดของนาง
ภาพนี้ทำให้ในแววตาอันเย็นเยียบของสตรีวัยกลางคนเผยความแปลกใจออกมา กวาดสายตาตั้งแต่หัวจรดเท้าประเมินสวี่ชิง แล้วเอ่ยขึ้นด้วยเสียงราบเรียบ
“ไม่ต้องเกร็งไป”
พูดจบก็สังเกตเห็นในสายตาของหลานสาวข้างกายที่จับจ้องสวี่ชิงเต็มไปด้วยประกายวาววับ นางอาบน้ำร้อนมาก่อนย่อมรู้ว่าสายตาของนางแบบนี้หมายถึงอะไร ดังนั้นแล้วจึงถอนหายใจในใจ ความเย็นยะเยือกในร่างหายไปบ้าง น้ำเสียงอ่อนลงเล็กน้อย
“วันนี้เรียกเจ้ามาคือจะมอบภารกิจของสำนักให้เจ้าเป็นผู้คุ้มครองของติงเสวี่ยชั่วคราว…”
“ท่านน้า พวกเราช่วยเหลือกันระหว่างสหาย!” ติงเสวี่ยรีบชิงเอ่ยปากก่อน ดึงมือของน้า ส่ายหน้าด้วยสีหน้าน่ารัก
สวี่ชิงสีหน้าเป็นปรกติ ท่าทีไม่เปลี่ยนแปลง แต่ในใจกลับมีระลอกคลื่นซัดโหมด้านหนึ่งเพราะเขาคิดไม่ถึงว่าเบื้องหลังของติงเสวี่ยจะยิ่งใหญ่ปานนี้ อีกด้านหนึ่งคือพลังบำเพ็ญของรองเจ้ายอดเขาทำให้เขารู้สึกเหมือนได้เห็นเจ้ายอดเขาทั้งหลายในตอนนั้น
ในขณะเดียวกัน จากการสัมผัสครั้งนี้ก็ทำให้สวี่ชิงยิ่งรับรู้ถึงความน่ากลัวของระดับชั้นเจ้ายอดเขาชั้นนั้นได้อย่างชัดเจนขึ้น
ตอนนี้ จากการออดอ้อนของติงเสวี่ย สีหน้าเย็นชาของสตรีวัยกลางคนหายไป เกิดความรักเอ็นดูขึ้นมา นางลูบศีรษะติงเสวี่ย แล้วพูดกับสวี่ชิงว่า
“สวี่ชิง เจ้ากับติงเสวี่ยเป็นสหายกัน วันนี้ข้าไม่ได้พูดกับเจ้าด้วยฐานะรองเจ้ายอดเขา แต่เป็นในฐานะของผู้อาวุโส ที่นี่คือแนวหน้า ไม่ปลอดภัยนัก แต่ติงเสวี่ยจะมาให้ได้ และข้าก็มีเรื่องสำคัญไม่อาจเสียสมาธิได้ ข้าเป็นห่วงความปลอดภัยของนางจึงอยากให้เจ้าช่วยคุ้มครองนางหนึ่งเดือน ได้หรือไม่
“หลังภารกิจเสร็จสิ้น ข้าจะให้สิทธิ์เจ้าสามารถถอนตัวออกจากสงครามได้ทุกเวลา และมอบยันต์ส่งข้ามไร้ขั้นตอนให้สามชิ้น”
ได้ยินคำว่ายันต์ส่งข้ามไร้ขั้นตอนสามสี่คำนี้ หัวใจของสวี่ชิงก็เต้นรัวเร็วขึ้นทันที
เขารู้จักยันต์ส่งข้ามไร้ขั้นตอน นี่เป็นของวิเศษหยกประเภทหนึ่ง มูลค่าของมหาศาลเหนือกว่าอาวุธเวทมากมาย ไม่ว่าชิ้นใดล้วนมีราคาเจ็ดหรือแปดแสนหินวิญญาณขึ้นไปทั้งนั้น
ที่สำคัญคือของสิ่งนี้หายากนัก เมื่อปรากฏขึ้นก็มักจะถูกคนแย่งกันซื้อไปทันที ตอนนั้นที่สวี่ชิงอยู่ที่หอศัสตรากระจ่าง เขตแสงศัตรายอดเขาที่หก ก่อนไปก็ได้เห็นอยู่ชิ้นหนึ่ง แต่ไม่ใช่ของเอาไว้ขาย
ของชิ้นนี้เหมือนเป็นชีวิตที่สอง สามารถใช้ได้ในเขตพื้นที่มากมาย บีบให้แตกจะสามารถส่งข้ามจากไปได้ แต่สถานที่ที่ส่งข้ามไม่แน่นอน อาจจะปรากฏขึ้นในละแวกนั้น และอาจปรากฏห่างออกไปหมื่นลี้
และเรื่องนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นติงเสวี่ยเสนอ ไม่เช่นนั้น หากประกาศหาคนคุ้มครอง มีรางวัลเป็นยันต์ส่งข้ามไร้ขั้นตอนสามชิ้น จะต้องมีผู้แข็งแกร่งมากมายแย่งชิงกันอย่างแน่นอน
ดังนั้นแล้วสวี่ชิงจึงมองติงเสวี่ยแวบหนึ่ง
เห็นสายตาของสวี่ชิงจับมาที่ตน ติงเสวี่ยหน้าแดงทันที ยิ้มหวานกลับไปให้สวี่ชิง
ภาพฉากนี้ทำเอาสตรีสูงส่งวัยกลางคนถึงกับส่ายหน้า ในดวงตาหงส์ล้ำลึกฉายแววจนปัญญาออกมา หลังจากวางถุงเก็บของไว้ในมือติงเสวี่ยแล้วก็เอ่ยเสียงราบเรียบ
“พวกเจ้าตัดสินใจแล้วกัน” พูดพลางหมุนตัวจากไป
เห็นน้าเดินจากไปแล้ว ติงเสวี่ยก็รีบมาข้างกายสวี่ชิง เอ่ยขึ้นอย่างร้อนรนว่า
“ศิษย์พี่สวี่ชิง นั่นคือน้าของข้า โดยปกติแล้วนางไม่ได้อาศัยอยู่ในสำนักเจ็ดเนตรโลหิต แต่อยู่ที่หมู่เกาะปะการังตะวันตก วันนั้นคนที่ข้าเคยบอกกับเจ้าว่าให้ไปคารวะด้วยกันตอนที่เจ้าไปส่งข้าในทะเลก็คือนางนี่แหละ



ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา