บทที่ 168 บรรพาจารย์ร้อนรนเสียแล้ว
ติงเสวี่ยพอได้ยินก็ล้วงเอาตราหยกออกมาทันที มองไปทางสวี่ชิง
เพียงแค่สวี่ชิงส่งสัญญาณ นางก็จะส่งสื่อเสียงขอความช่วยเหลือ
สวี่ชิงไม่พูดอะไร ตั้งใจฟังอย่างละเอียด จนรออยู่พักหนึ่ง เสียงที่เหมือนกันไม่ผิดเพี้ยนในอุโมงค์ลับก่อนหน้าก็ดังลอดมาอีกครั้งเป็นรอบที่สอง
“ท่านพ่อ รีบกลับบ้านเถิด…”
เสียงยังคงเต็มไปด้วยความคิดคะนึง อารมณ์นี้รุนแรงมาก ทั้งๆ ที่เสียงราวกับว่าลอดมาจากอุโมงค์ลับกลับให้ความรู้สึกเหมือนร้องเรียกอยู่ข้างหู ทำให้คนรู้สึกเหมือนมีภาพลอยขึ้นมาตรงหน้าได้เลย
สวี่ชิงดวงตาเผยแววครุ่นคิด เขาสัมผัสถึงคลื่นอันตรายใดในอุโมงค์ลับไม่ได้ และในการสัมผัสก็ตรวจสอบความเย็นเยียบของสิ่งประหลาดไม่ได้เลย แต่ก็ยังจุดไฟชีวิตขึ้นฉับพลัน เปิดสภาวะแสงนภาขึ้น
ในช่วงเวลาเกือบเดือน ตอนนี้ก็เป็นครั้งแรกที่สวี่ชิงเปิดสภาวะแสงนภาต่อหน้าติงเสวี่ย อันตรายก่อนหน้าที่พบทั้งหมด สำหรับเขาแล้วสภาวะปกติยังจัดการไหว
เวลานี้ติงเสวี่ยกับเจ้าจงเหิงล้วนสูดปากจากการระเบิดอย่างรุนแรงของพลัง ถอยหลังออกมาด้วยสัญชาตญาณ ดวงตาทั้งคู่เจ็บปวดขึ้นมาจนไม่กล้ามองตรงๆ
ติงเสวี่ยยังดี แม้จะลืมตาไม่ขึ้นแต่ในใจก็ยินดีมากกว่าความตกตะลึง แต่เจ้าจงเหิงทางนั้นกลับหน้าเปลี่ยนสี แผนการที่สร้างขึ้นในใจก็แทบจะพังทลายลงอีกครั้งในตอนนี้
‘ใครบอกว่าคนที่ยืนอยู่ในแสงจึงจะเป็นวีรบุรุษ ใจจริงของข้า แตกต่างจากผู้อื่น!’ เจ้าจงเหิงหายใจหอบถี่ ในใจคำรามเสียงต่ำให้กำลังใจตนเอง
สวี่ชิงไม่รู้ว่าในใจติงเสวี่ยกับเจ้าจงเหิงคิดอะไร และเขาก็ไม่ได้สนใจ เวลานี้เขาไม่ลังเลแม้แต่น้อยจากการเปิดสภาวะแสงนภา ร่างกายพุ่งตรงไปข้างหน้าฉับพลัน เหยียบเข้าไปในอุโมงค์ลับ
เมื่อเข้าไป ความเร็วสวี่ชิงน่าตกตะลึง หวีดหวิวเข้าไปยังส่วนลึกของอุโมงค์ลับ ทุกจุดที่แล่นผ่านกระพือเสียงระเบิดตึงตังขึ้น เสียงสะท้อนก้องเป็นทอดๆ ขึ้นในอุโมงค์ลับแคบๆ
ขณะเดียวกันเขาก็สัมผัสได้ว่าพิษศพในไอพลังประหลาดนี้กำลังสลายลงไปอย่างรวดเร็วจริงๆ เหมือนระเหยไปหลังจากตาย
สวี่ชิงเหมือนครุ่นคิด ในพริบตาก็มาถึงปลายสุดของอุโมงค์ลับ สายตากวาดมองรอบๆ อย่างรวดเร็วราวสายอัสนี
ที่นี่เหมือนเป็นที่ซ่อนตัวง่ายๆ แห่งหนึ่ง
ในมุมมีร่างของเผ่าสิงซากสมุทรอยู่ร่างหนึ่ง ภายนอกเหมือนชายชราเผ่ามนุษย์พิงมุมกำแพงตายไปแล้วตอนนี้
ตัวศพมีรอยแผลที่น่าสยดสยองหลายแห่ง โดยเฉพาะตำแหน่งตันเถียนก็ยิ่งดูเหวอะหวะ อาการบาดเจ็บจุดนั้นถือเป็นจุดที่อันตรายถึงชีวิตที่สุด แทบจะทะลุออกไป ศพนี้คือตำแหน่งที่เป็นต้นกำเนิดของไอพลังประหลาดและพิษศพนั่นเอง
ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้ตายไปแล้ว แต่คลื่นที่เหลืออยู่บนตัวยังคงแข็งแกร่งมาก สายตาสวี่ชิงกวาดมอง พิจารณาได้ว่าคนผู้นี้ตอนยังมีชีวิตอย่างน้อยคงจะเป็นหนึ่งไฟชีวิต
เห็นได้ชัดว่าเผ่าสิงซากสมุทรคนนี้บาดเจ็บหนักระดับพลังชีวิตแทบสูญสิ้นในเกาะเงือก ยืนหยัดเข้ามาหลบอยู่ในนี้ ไม่เหลือแรงจะหลบหนีอีก ยิ่งไปกว่านั้นก็ยากที่จะฟื้นฟูกลับ สุดท้ายจึงตายลงเงียบๆ ในที่แห่งนี้
เวลาตายน่าจะยังไม่นานนัก ดังนั้นตอนที่เปิดอุโมงค์ลับก่อนหน้านี้จึงมีคลื่นพลังประหลาดแผ่ออกมา
และสีหน้าของเขาก็แตกต่างจากเผ่าสิงซากสมุทรที่สวี่ชิงเคยเห็นมาทั้งหมด แม้จะเริ่มเน่าเปื่อย แต่ยังคงมีความสับสนในสมัยยังมีชีวิตอยู่รางๆ
โดยเฉพาะในมือเขายังกำขวดทองสัมฤทธิ์ใบหนึ่งไว้แน่น
ราวกับสิ่งนี้คือสิ่งล้ำค่าที่สุดก่อนที่เขาจะตาย
ขวดใบเล็กนี้เก่าแก่มาก ถูกเปิดออกไปแล้ว ด้านในมีเสียงที่สวี่ชิงได้ยินเมื่อครู่นี้ดังออกมา
“ท่านพ่อ รีบกลับบ้านเถิด…”
เสียงอ่อนแออย่างมาก มีอารมณ์ความคิดถึงคะนึงอันเข้มข้นอยู่
และผู้อาวุโสเผ่าสิงซากสมุทรนั้น เหมือนจะเปิดขวดนี้ออกก่อนตาย ฟังเสียงนี้ซ้ำไปซ้ำมาขณะที่ค่อยๆ ตายไป
คล้ายว่า นี่คือเสียงญาติของเขา
สวี่ชิงกวาดตาจากขวดไปมองรอบๆ พอยืนยันว่าที่นี่ไม่มีอันตรายแล้ว ด้านหลังของเขาก็มีเสียงฝีเท้าดังเข้ามา
คนที่เข้ามาคือเจ้าจงเหิงกับติงเสวี่ย ก่อนหน้านี้หลังจากที่สวี่ชิงเข้าไปในอุโมงค์ลับ พวกเขารออยู่ครู่หนึ่งและเห็นว่าในนี้ไม่มีการเคลื่อนไหวใดเลย ติงเสวี่ยจึงร้อนรนรีบวิ่งเข้ามา เจ้าจงเหิงก็ทำได้เพียงตามเข้ามา
เวลานี้เมื่อสังเกตเห็นว่าสวี่ชิงไม่เป็นอะไร ติงเสวี่ยจึงผ่อนลมหายใจลงแล้วสังเกตไปรอบๆ หลังจากมองที่นี่ทั้งหมดอย่างชัดเจนแล้ว นางก็มองไปยังขวดในมือของเผ่าสิงซากสมุทร อุทานออกมาเสียงหนึ่ง
“ขวดจับเสียง!”
ติงเสวี่ยที่มีเบื้องหลังน่าตกตะลึง ด้านความรู้ก็เหนือกว่าผู้บำเพ็ญปกติอย่างเห็นได้ชัด เพียงผาดเดียวก็มองที่มาของขวดเล็กทองสัมฤทธิ์นั่นออก ดังนั้นหลังจากที่รู้สึกถึงสายตาสวี่ชิงที่มองมา นางรีบร้อนเอ่ยขึ้น
“ขวดจับเสียงเป็นของโบราณ พบเห็นได้น้อย มูลค่าของมันสำหรับบางคนคือประเมินค่าไม่ได้ แต่สำหรับคนที่หมู่มากกลับไร้ซึ่งมูลค่า เพราะประโยชน์ของมันมีเพียงสิ่งเดียวนั่นคือการจับเสียง หลังจากปิดไปแล้วสามารถเปิดเพื่อฟังเสียงที่จับเข้ามาได้ตลอดเวลา
“เสียงของมันเสมือนจริงมาก กระทั่งพูดได้ว่าเป็นเสียงเดิมเลยทีเดียว นี่คือจุดที่มหัศจรรย์และล้ำค่าของมัน แต่ก็อยู่ไม่ได้นานนัก พอเปิดไปนานๆ เสียงก็จะค่อยๆ สลายไป จำเป็นต้องจับมาใหม่”
พูดถึงจุดนี้ ติงเสวี่ยก็มองไปยังเผ่าสิงซากสมุทรคนนั้น จากนั้นก็มองไปยังขวดจับเสียงที่เหมือนเป็นสมบัติล้ำค่าที่กำแน่นอยู่ในมือเขา และเหมือนจะเข้าใจอะไรขึ้นมา
“เผ่าสิงซากสมุทรล้วนเป็นพวกเผ่าต่างๆ ที่พอตายไปก็ถูกใช้วิธีพิเศษบางอย่างฟื้นคืนชีพขึ้นมา และพอกลายเป็นเผ่าสิงซากสมุทร ก็จะเหลือความทรงจำก่อนตายอยู่เศษเสี้ยวเท่านั้น
“แต่ความทรงจำนี้ไม่มีประโยชน์อะไร เพราะนิสัยที่โหดเหี้ยมของเผ่าสิงซากสมุทร ตอนที่ฟื้นคืนชีพก็เท่ากับตัดขาดจากช่วงที่ยังมีชีวิตอยู่ไปแล้ว น้อยมากที่จะรักษาสิ่งที่รักและล้ำค่าในสมัยที่ยังมีชีวิต
“ถ้าหากขวดใบนี้เป็นของเขา เช่นนั้นเผ่าสิงซากสมุทรคนนี้ก็ไม่ธรรมดาเลย เขาถึงกับรักษาสิ่งของสมัยยังมีชีวิตไว้ ขวดใบนี้ก็น่าจะเป็นของรักของเขา เป็นที่ยึดเหนี่ยวของเขา
“ส่วนเสียงในขวด บางทีอาจจะเป็นลูกชายของเขาสมัยมีชีวิต แต่ไม่ว่าตอนเขามีชีวิตจะเป็นอย่างไร เขาก็กลายเป็นเผ่าสิงซากสมุทรไปแล้ว”
น้ำเสียงติงเสวี่ยมีความไม่แน่ใจ เห็นได้ชัดว่านางก็ไม่แน่ใจว่าความจริงจะเป็นอย่างที่นางพิจารณาไว้หรือไม่ พูดจบก็มองไปทางสวี่ชิง
“ไม่สำคัญอีกแล้ว” สวี่ชิงส่ายศีรษะ มือขวายกมือขึ้นคว้า และขวดทองสัมฤทธิ์เล็กในมือนั่นก็ลอยเข้ามาอยู่ในมือเขาฉับพลัน
เวลานี้เสียงในขวดก็อ่อนลงไปมาก หลังจากส่งเสียงเรียกครั้งสุดท้าย ก็สลายหายไปจนหมด
ติงเสวี่ยมองเจ้าจงเหิงผาดหนึ่ง สายตานี้ถ้าหากเปลี่ยนเป็นคนอื่นคงจะมองออกถึงความนัยได้ยาก แต่เจ้าจงเหิงเข้าใจทันที ตรงเข้าไปพลิกตัวค้นบนตัวเผ่าสิงซากสมุทรนี้โดยไม่ลังเล
เพียงไม่นานก็เจอถุงเก็บของใบหนึ่ง จากนั้นทั้งสามคนก็ออกมาจากอุโมงค์ลับ

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา