บทที่ 170 กายวิญญาณอัสนี
สวี่ชิงประหลาดใจ
เขามองบรรพจารย์สำนักวัชระแวบหนึ่ง รู้สึกว่าจู่ๆ อีกฝ่ายพูดประโยคนี้ขึ้นมาค่อนข้างประหลาด
“เจ้าแน่ใจหรือ” สวี่ชิงเอ่ยถามนาบเนิบ
แม้เขาสัมผัส0tได้ว่ากลิ่นอายของบรรพจารย์สำนักวัชระแข็งแกร่งกว่าแต่ก่อนมาก เหมือนจะถึงขอบเขตใดสักอย่าง แต่จะอย่างไรก็ยังไม่ค่อยเสถียร ไม่เหมือนว่าจะทะลวงขั้นแล้ว
“ข้าน้อยมั่นใจเป็นอย่างยิ่ง!” บรรพจารย์สำนักวัชระมองทางเงาทางนั้นอย่างรวดเร็วแวบหนึ่ง เอ่ยเสียงดัง
สวี่ชิงไม่เคยเป็นวิญญาณอาวุธ ไม่รู้ว่าวิญญาณอาวุธทะลวงขั้นเป็นสภาวะเช่นไร ตอนนี้ได้ยินคำพูดของบรรพจารย์สำนักวัชระก็เงียบนิ่งไปครู่หนึ่ง
เห็นสวี่ชิงเงียบนิ่ง บรรพจารย์สำนักวัชระตึงเครียดมาก
เขากังวลว่าสวี่ชิงจะปฏิเสธตนเพื่อที่จะทุ่มเทดูแลเจ้าเงาเต็มที่ ในขณะเดียวกันเขาก็นึกถึงตำราเล่มหนึ่งในบรรดาตำราโบราณมากมายที่ตนเคยอ่าน เคยมีเรื่องหนึ่ง
เนื้อหาที่เรื่องนั้นกล่าวเอาไว้คือหลังจากที่เจ้านายปฏิเสธสัตว์เลี้ยงข้างกายครั้งหนึ่ง ไม่รู้ทำไมเจ้านายถึงได้ชอบความรู้สึกที่ได้ปฏิเสธ ดังนั้น หลังจากเรื่องนั้นแล้วไม่ว่ามีเรื่องอะไรล้วนปฏิเสธหมด
ทำให้สุดท้ายแล้ว สัตว์เลี้ยงก็กลายเป็นอาหารไปด้วยการปฏิเสธของเขา
‘วิชาที่จอมมารสวี่ฝึกฝนคือคัมภีร์เพลิงพิฆาตกลืนวิญญาณ…หรือว่าเมื่อถึงตอนนั้น เขาก็จะเริ่มวางแผนดูดกลืนวิญญาณข้าหรือ’
แม้บรรพจารย์สำนักวัชระจะเป็นคนเจ้าเล่ห์ในหมู่คนเจ้าเล่ห์ แต่ในตอนมีชีวิตอยู่เขามีนิสัยหนึ่งคือพูดพร่ำไม่หยุด ตอนนี้เมื่อกลายเป็นวิญญาณอาวุธแล้ว ในความวิตกหวาดกลัวทั้งวันก็ยิ่งเปลี่ยนมาอ่อนไหว
เขารู้สึกได้ถึงสัญญาณว่าหากตนตายไปจอมมารสวี่จะดูดกลืนวิญญาณของตน ดังนั้นท่ามกลางความหวาดกลัวก็ไม่รอคำตอบรับของสวี่ชิง รีบร้องเสียงสูงออกมา
“นายท่านข้าทนไม่ไหวแล้ว ข้าจะทะลวงขั้นแล้ว…” พูดแล้ว กายวิญญาณในร่างบรรพจารย์สำนักวัชระก็พลันปะทุขึ้น ฝืนทำการทะลวงขั้น ดวงตากระทั่งว่าแดงขึ้นมา ในใจบ้าคลั่งไปแล้วโดยสมบูรณ์
‘ข้าจะต้องชิงทะลวงขั้นก่อนเจ้าเงาให้ได้!’ เขาคำรามในใจ ท่ามกลางการปะทุนี้ เงาวิญญาณลอยขึ้นมาจากเหล็กแหลมสีดำ หมอกเป็นกลุ่มๆ ราวเมฆดำก่อตัวขึ้นในกายเขาอย่างรวดเร็ว
ปะทะซึ่งกันและกันไม่หยุด มีสายอัสนีแต่ละเส้นๆ กะพริบแปลบปลาบพุ่งผ่านทั่วทั้งร่าง ทำให้บรรพจารย์สำนักวัชระส่งเสียงร้องน่าสังเวชออกมาอย่างอดไม่ได้ สวี่ชิงเห็นแล้วยังสยดสยองพรั่นพรึง
วิชาที่บรรพจารย์สำนักวัชระฝึกฝนคือเสี้ยววิชา สามารถเปลี่ยนคนให้กลายเป็นวิญญาณอาวุธได้ และชื่อของวิชานี้ก็ฉายความไม่ธรรมดาออกมา มันมีชื่อว่า…อัสนีโลกันต์แปรวิญญาณ!
วิชานี้ไม่มีหลักฐานการศึกษาค้นคว้า เหมือนว่าจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่สักคนที่อ้างอิงวิญญาณอัสนีค้นคว้าออกมา
เมื่อฝึกฝนสำเร็จขั้นเล็กสามารถเปลี่ยนร่างตัวเองให้กลายเป็นกายวิญญาณอัสนี
และส่วนหนึ่งของการฝึกฝนวิชานี้คือต้องมีพรสวรรค์ ในขณะเดียวกันก็เป็นขั้นตอนของการสั่งสม
สำหรับส่วนที่สองคือเจตจำนงแน่วแน่ในการสะบัดดาบจัดการกับตัวเอง ให้ตัวเองกลายเป็นกายวิญญาณ จากนั้นก็อาศัยการสั่งสมการฝึกบำเพ็ญในส่วนแรกปะทุแปรเปลี่ยนเป็นวิญญาณอาวุธ ก็จะสามารถเริ่มส่วนที่สามแปลงเป็นกายวิญญาณอัสนีได้
หากกลายเป็นกายวิญญาณอัสนีก็จะนับว่าสำเร็จขั้นเล็ก
แต่นี่ก็เป็นเพียงแค่วิญญาณอัสนีมนุษย์เท่านั้น มีเพียงสำเร็จขั้นกลางเท่านั้นถึงจะกลายเป็นวิญญาณอัสนีก่อนกำเนิด ส่วนขั้นใหญ่…ไม่มีวิชา
ตอนนี้ขั้นที่บรรพจารย์สำนักวัชระทุ่มสุดชีวิตไปทะลวงขั้นคือเปลี่ยนให้ตัวเองเป็นวิญญาณอัสนีก่อนกำเนิด และขั้นตอนนี้ทรมานแสนสาหัสนัก ต้องอาศัยการปะทะของเมฆหมอกในร่างกายให้เกิดเป็นสายฟ้าฟาดมากขึ้น
สุดท้ายแล้วให้สายฟ้าพุ่งผ่านกายวิญญาณเหนี่ยวนำอัสนีสวรรค์มาชำระล้างวิญญาณของเขาจึงจะสำเร็จ
เห็นบรรพจารย์สำนักวัชระร้องโหยหวนชวนสังเวช สวี่ชิงสูดลมหายใจ
สายตาของเขาเบนจากทางเจ้าเงาทางนั้น แบ่งสมาธิกว่าครึ่งมาที่บรรพจารย์สำนักวัชระ ความจริงแล้วสภาพของอีกฝ่ายในตอนนี้ ทำให้สวี่ชิงรู้สึกเลาๆ ว่าเหมือนจะไม่ค่อยดีเท่าไร
ในขณะเดียวกัน ในใจของเขาก็ประเมินโดยทันทีว่า หากบรรพจารย์สำนักวัชระแตกสลาย เหล็กแหลมของตนจะได้รับความเสียหายไปด้วยหรือไม่
ส่วนเสียงร้องของบรรพจารย์สำนักวัชระไม่เพียงแต่ดึงดูดความสนใจของสวี่ชิงเท่านั้น แต่บ่อดำที่แปรเปลี่ยนจากเงาที่อยู่ข้างๆ ฟองอากาศที่อยู่บนนั้นชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็เร่งความเร็วผุดขึ้นมา…
ภายใต้การแก่งแย่งชิงดีและบ้าคลั่งของเงาและบรรพจารย์สำนักวัชระนี้ เมฆหมอกในร่างของบรรพจารย์สำนักวัชระมากขึ้นเรื่อยๆ กระทบกันรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ไปเช่นนี้เอง
สายฟ้าแต่ละทางๆ ค่อยๆ สะสมในร่างกาย วิ่งวนไม่ขาดสาย หลังจากที่กระจายไปทั้งกายวิญญาณแล้ว ในเสี้ยวขณะที่กายของบรรพจารย์สำนักวัชระเหมือนแหลกสลาย ในที่สุดก็มีสายฟ้าทางหนึ่งแหวกช่องหนึ่งออกมาจากกระหม่อมของเขา
สายฟ้ามหาศาลทะลักออกมาจากช่องนี้ทันที พันล้อมรอบกายบรรพจารย์สำนักวัชระ ทำให้ในขณะที่พลังของเขาน่าครั่นคร้าม วิญญาณก็พุ่งเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วด้วย
ทั้งหมดนี้ทำให้ในใจของบรรพจารย์สำนักวัชระผ่อนคลาย เขารู้สึกว่าเป็นตัวเองไม่ง่ายเอาเสียเลย แต่นึกถึงการชำระล้างต่อจากนี้ ในใจของเขาก็ยังคร่ำครวญ
เขารู้ดีว่าขั้นตอนการทะลวงขั้นอันตรายมาก ดีไม่ดีอาจจะสลายหายไปเลยก็ได้ หากเปลี่ยนเป็นเมื่อตอนมีชีวิตอยู่ เขาเลือกยอมแพ้อย่างไม่ลังเลแน่นอน
และนิสัยแบบนี้ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ช่องเวทของเขาทะลวงเปิดได้ช้ามาก
ทั้งชีวิตของเขาความจริงแล้วก็มีโอกาสอยู่หลายครั้งที่สามารถเพิ่มความเร็วในการทะลวงเปิดช่องเวทอยู่เหมือนกัน แค่ต้องทุ่มสุดชีวิต ดังนั้นสุดท้ายแล้วเขาก็กัดฟันถอย
ตอนนี้ความรู้สึกลังเลแบบนั้นก็ปรากฏขึ้นเช่นกัน แต่ในตอนนี้บ่อน้ำดำที่แปลงมาจากเงา เสียงกรีดร้องและคำรามในนั้นยิ่งรุนแรงขึ้น กระทั่งว่าน้ำในบ่อเริ่มโป่งนู่นขึ้น!
สิ่งที่โป่งนูนขึ้นมาไม่ใช่ฟองอากาศแต่เป็นสิ่งใหม่ที่เกิดขึ้นจากในบ่อน้ำ กำลังดิ้นรนยืนขึ้นจากในนั้น ยิ่งไปกว่านั้นจากการที่มันก่อตัวขึ้นมาข้างบนไม่หยุด กลิ่นอายที่เหนือกว่าระดับรวมปราณกลุ่มหนึ่ง ก็แผ่ซ่านออกมาจากในนั้น


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา