บทที่ 220 ลูกกลอนวิญญาณไป๋ลี่
เวลาเคลื่อนคล้อย
เจ็ดเนตรโลหิตท่าเรือที่หนึ่งร้อยหกสิบเจ็ด
สวี่ชิงนั่งขัดสมาธิอยู่บนดาดฟ้าเรือใหญ่เวท เขาจ้องไปยังฟ้าดินที่ห่างออกไปเขม็งตานการคลอนไหวของเรือเวท เวลานี้เป็นช่วงดวงตะวันขึ้น เมฆสีแดงล่องลอยบนฟากฟ้า ราวกับเปลวเพลิงแผดเผาท้องนภา
สวี่ชิงมองเงียบๆ
นับจากเผ่าดาราสมุทรล่มสลาย นี่ก็ผ่านไปครึ่งเดือนแล้ว
ในครึ่งเดือนนี้ เรื่องของเผ่าดาราสมุทรก่อให้เกิดลมพายุ จากการที่เจ็ดเนตรโลหิตเปิดเผยการกระทำชั่วร้ายของเผ่าดาราสมุทรรวมถึงสมาชิกเทียนประทีปอย่างไป๋ลี่ จากการที่แต่ละเผ่าหาสาเหตุการหายไปอย่างไร้ร่องรอยของอัจฉริยะฟ้าประทานของตนพบ ความโกรธแค้นที่มีต่อเผ่าดาราสมุทรรวมถึงเทียนประทีปก็ยิ่งทวีรุนแรงขึ้น
แม้เผ่าดาราสมุทรจะล่มสลาย แต่อีกสามเผ่ายังคงอยู่ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องให้เจ็ดเนตรโลหิตลงมือ เผ่าที่สูญเสียอัจฉริยะฟ้าประทานเหล่านั้นไปก็พากันเคลื่อนไหว มุ่งตรงไปยังเผ่าทั้งสาม เมื่อที่นั่นพวกเขาได้เห็นหนอนไหมเหล็กจำนวนมหาศาล จึงได้เห็นหลักฐานมากมายขึ้นด้วยเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้เผ่าที่เจ็บหนักทั้งสามก็ถูกชนเผ่าอื่นๆ ทำลายทิ้งอย่างรวดเร็ว
และการลงมือครั้งนี้ของนายท่านหก ก็ยิ่งทำให้ชื่อเสียงเจ็ดเนตรโลหิตถูกจับตามอง โดยเฉพาะภูเขาปราการสงครามยอดเขาลำดับหก ทำเอาเผ่าต่างๆ กริ่งเกรงกันขึ้นเลยทีเดียว
แต่หลังจากวิเคราะห์ ส่วนใหญ่ก็รู้สึกว่าแม้ตัวภูเขาจะแข็งแกร่ง แต่พลังขับเคลื่อนด้านในยังธรรมดา แม้จะสามารถรองรับการเคลื่อนตัวของภูเขาระดับปราการสงครามได้ แต่การสะกดยังอ่อนด้อยอยู่บ้างอย่างเห็นได้ชัด
กระทั่งมีคนอนุมานหลังจบเรื่องว่า หากไม่มีธงสงครามเผ่ามนุษย์ก็เกรงว่าท้ายสุดนายท่านหกคงสะกดสมาชิกเทียนประทีปคนนั้นลงได้ยาก
แต่อย่างไรก็ตาม การล่มสลายของเผ่าดาราสมุทร ไป๋ลี่สมาชิกเทียนประทีปถูกหลอมก็ล้วนเป็นความจริง ดังนั้นความแข็งแกร่งของเจ็ดเนตรโลหิต จึงยังซึมลึกเข้าไปในใจเผ่าอื่นๆ อีกครั้ง
ส่วนทางด้านสวี่ชิง หลังจากนายท่านหกหลอมเผ่าดาราสมุทรไปทั้งเผ่า พาพวกเขากลับมายังเจ็ดเนตรโลหิต ตอนที่กลับมา นายท่านหกก็นิ่งงัน สวี่ชิงเองก็นิ่งเงียบ
ไม่มีใครคิดถึงความสุขขณะสังหารศัตรูเลย กลับกลายเป็นนิ่งสงบ ความโศกเสียใจในส่วนลึกของก้นบึ้งจิตใจเดี๋ยวชัดเดี๋ยวเลือน
แต่ชีวิตก็ยังต้องไปต่อ หนทางชีวิตยังคงต้องเดินต่อไป
“อาจารย์ หลับให้สบาย” สวี่ชิงนั่งอยู่บนดาดฟ้าเรือใหญ่เวท หยิบกาสุราที่อยู่ข้างๆ หมุนตัวหันไปทางทิศผืนอินทนิลแล้วยกขึ้น จากนั้นจึงกระดกลงไปอึกใหญ่ หลับตาลง
จังหวะที่ปิดทั้งสองตา ในร่างกายเขาก็ส่งเสียงครืนครัน ช่องเวททั้งหกสิบห้าช่องราวกับเตาไฟ กำลังเผาไหม้อย่างร้อนแรง ในนั้น…มีดวงวิญญาณไม่สมบูรณ์จำนวนมหาศาลกำลังถูกหลอม
วิญญาณไม่สมบูรณ์เหล่านี้ล้วนเป็นคนในเผ่าดาราสมุทรทั้งสิ้น เพียงแต่พวกเขาไม่มีค่าใดเหมือนกับกระดูกซี่โครงไก่อย่างไรอย่างนั้น แต่ยังดีที่มีปริมาณมหาศาล ดังนั้นหลังจากรวบรวมไว้ด้วยกันก็ยังพอมีส่วนช่วยกับการเปิดช่องเวทของสวี่ชิงอยู่ระดับหนึ่ง
และในบรรดาดวงวิญญาณมากมายนี้มีวิญญาณที่พิเศษอีกดวงหนึ่งถูกสะกดไว้ในช่องเวทหนึ่งของสวี่ชิง ถูกไฟเผาไหม้อยู่ทั้งวันทั้งคืนไม่ได้หยุด
วิญญาณดวงนี้ก็คือผู้บำเพ็ญเผ่าพรางมารยาคนนั้น
หลังจากถูกเจ้าเงาจับกุม ด้วยการทรมานหลายต่อหลายวันตั้งแต่ที่สวี่ชิงกลับมา ในที่สุดก็แตกดับ ถูกสวี่ชิงดึงวิญญาณออกมาได้สำเร็จ
แต่เพียงวิหคทองหลอมหมื่นวิญญาณยังไม่ได้ดึงเอาพรสวรรค์ของเผ่าพรางมารยานี้ออกมา ใช่ว่าวิชาเวทระดับจักรพรรดิทำไม่ได้ แต่เพราะจำนวนน้อยจนเกินไป หากจะช่วงชิงพรสวรรค์ของเผ่าหนึ่งออกมา จำเป็นต้องหลอมคนเผ่านั้นๆ ในปริมาณมากถึงจะสำเร็จ
ทว่าไม่เป็นอันใด สวี่ชิงไม่สนใจ ที่เขาสนใจมีเพียงสิ่งเดียวนั่นก็คือต้องทำให้ผู้บำเพ็ญคนนี้ทุกข์ทรมาน
แต่วิญญาณของเผ่านี้มีความพิเศษอยู่จุดหนึ่ง นั่นคือพลังวิญญาณสามารถฟื้นฟูได้เองช้าๆ ต่อให้ถูกสะกดหล่อหลอม ก็ยังเป็นเช่นเดียวกัน
“นายท่านหกดึงส่วนที่เผ่าดาราสมุทรหลอมรวมกับตัวภูเขาส่วนหนึ่งออกมา หลอมจนกลายเป็นเทียนเล่มหนึ่ง จุดเอาไว้ที่หน้าหลุมศพลูกชาย ข้าทำเช่นนั้นไม่ได้ แต่ข้าสามารถสะกดวิญญาณดวงนี้ไว้ตลอดกาล ให้เขาอยากตายก็ตายไม่ได้ คอยมอบพลังวิญญาณให้กับข้าต่อไป แล้วสักวันหนึ่ง ก็จะช่วงชิงพรสวรรค์เขามาได้เอง” สวี่ชิงเอ่ยเสียงเบา
ไม่ว่าจะมาจากความพิเศษในการมอบพลังวิญญาณให้อย่างต่อเนื่องของดวงวิญญาณนี้ หรือว่าจะมาจากความแค้นต่อผู้บำเพ็ญพรางมารยาคนนี้ ก็ล้วนทำให้สวี่ชิงไม่กลืนกินเขาลงไปง่ายๆ ในคราวเดียว
ระหว่างที่ในร่างกายส่งเสียงครืนครัน นอกจากดวงวิญญาณที่ถูกสะกดแล้ว วิญญาณไม่สมบูรณ์อื่นๆ ก็แปรเป็นพลังวูบหนึ่ง พุ่งปะทะไปยังช่องเวทที่หกสิบหก เพียงพริบตาช่องเวทที่หกสิบหกก็เปิดออก ขณะที่พลังเวทแผ่ซ่านไปทั้งร่าง การปะทะของสวี่ชิงก็ยังไม่จบสิ้น
ครู่ต่อมา ช่องเวทที่หกสิบเจ็ดก็เปิดออกในพริบตา
ส่วนที่เหลือไปรวมกันอยู่ที่ช่องเวทหกสิบแปดต่อ หมุนวนอยู่นาน จนในที่สุดก็ทำการพุ่งปะทะ
สวี่ชิงสั่นไปทั้งตัว กลิ่นอายกับพลังเวทก็เพิ่มขึ้นไม่น้อยอย่างชัดเจน
เขาสัมผัสได้นานแล้วว่าการเปิดช่องเวทหลังจากไฟชีวิตดวงที่สอง ระดับความยากจะยากกว่าก่อนหน้ามาก และวิญญาณเผ่าดาราสมุทรก็ไม่สมบูรณ์ด้วย ดังนั้นจึงมอบพลังการเปิดช่องเวทให้แก่เขาได้เพียงสามช่อง
สวี่ชิงลืมตา ล้วงกล่องหยกใบหนึ่งออกมาจากอก หลังจากเปิดออกก็มองเข้าไปด้านใน
ในกล่องหยกนี้มียาลูกกลอนสีดำเม็ดหนึ่งวางอยู่
ยาลูกกลอนมีเงาวิญญาณโหดเหี้ยมแผดเสียงและคำรามอย่างเงียบงันปรากฏขึ้น ราวกับคิดจะสลัดพันธนาการในยาลูกกลอนเพื่อหลบหนีขึ้นสู่ฟากฟ้า แต่ก็ทำไม่ได้
นี่คือลูกกลอนวิญญาณระดับสูงที่ล้ำค่าอย่างมากเม็ดหนึ่ง!
สำหรับผู้บำเพ็ญคัมภีร์เพลิงพิฆาตกลืนวิญญาณ ดวงวิญญาณเป็นเชื้อฟืนในการเปิดช่องเวท ดังนั้นจำเป็นต้องสังหารและดึงวิญญาณออกมาปริมาณมากจึงจะสามารถยกระดับฝึกบำเพ็ญได้ต่อเนื่อง
แต่การสังหารบางครั้งก็มีเชื่องช้าขึ้นบ้าง ดังนั้นจึงมีลูกกลอนวิญญาณประเภทนี้ หนึ่งเม็ดสามารถมอบพลังดวงวิญญาณมหาศาลแก่ผู้บำเพ็ญ
เช่นเดียวกับอู๋เจี้ยนอูยอดเขาลำดับหนึ่งเมื่อครั้งนั้น ยาลูกกลอนที่เคยโยนให้ก็คือลูกกลอนวิญญาณ เพียงแต่ระดับค่อนข้างต่ำเท่านั้น
และเม็ดนี้เป็นสิ่งที่นายท่านหกดึงเอาส่วนหนึ่งของวิญญาณไป๋ลี่ออกมาหล่อหลอมด้วยตนเอง ส่งมอบให้สวี่ชิงระหว่างที่กลับสำนัก
ดึงออกมาเพียงส่วนเล็กๆ เท่านั้น
นายท่านหกเป็นคนตรงไปตรงมา เขาต้องการวิญญาณมหาศาลมาเสริมพลังอาวุธเวท ดังนั้นจึงมอบให้สวี่ชิงได้เพียงเม็ดเดียว แต่เขายังบอกสวี่ชิงว่า เขาค้างหนี้น้ำใจสวี่ชิงอยู่ครั้งหนึ่ง
สวี่ชิงก็ไม่ได้ใส่ใจ สาเหตุที่การล้างแค้นครั้งนี้ราบรื่น จุดสำคัญคือการลงมือของนายท่านหก ดังนั้นต่อให้ไม่มอบยาลูกกลอนวิญญาณแก่เขา สวี่ชิงก็ยังคิดว่าสมเหตุสมผล
และไม่ต้องพูดถึงเรื่องของคุ้มครองที่นายท่านหกมอบให้เขาเลย แม้จะลดทอนพลังของไป๋ลี่ในระหว่างต่อสู้ไปมาก แต่ตอนนี้ก็ยังคงใช้การได้ มูลค่าของมันเดิมก็มากกว่าลูกกลอนวิญญาณแล้ว
สวี่ชิงเลิกคิด หยิบลูกกลอนวิญญาณขึ้น โยนเข้าปากอย่างไม่ลังเล ค่อยๆ เคี้ยว วิญญาณไม่สมบูรณ์ด้านในเปล่งเสียงกรีดร้อง แต่สุดท้ายก็ยังเลี่ยงบทสรุปที่ต้องถูกกลืนกินไม่พ้น การแผดเผาของเพลิงพิฆาตในร่างสวี่ชิงกลายเป็นแรงปะทะเปิดช่องเวท พุ่งตรงไปยังช่องเวทที่หกสิบเก้า


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา