บทที่ 223 ตามหลอกหลอนไม่เลิก
ได้ยินคำพูดของนายกอง สวี่ชิงดวงตาจ้องเพ่ง
เขามองรูปสลักในศาลเจ้า จวบจนตอนนี้เขาถึงเพิ่งจะรู้ว่า ที่แท้ศาลเจ้าแห่งนี้มีที่มาที่ไปเช่นนี้เอง
นึกย้อนถึงดาบนั้นในตอนนั้น สวี่ชิงรับรู้ได้มากขึ้น
ในใจนายกองก็สะท้อนใจไปเช่นกัน เขาเองก็รู้ว่าวาสนาแบบนี้ไม่ใช่แค่แทะง่ายๆ แบบนั้น ไม่ใช่แค่ต้องการความสามารถในการเรียนรู้อย่างเดียวเท่านั้น ยิ่งต้องการวาสนา ที่สำคัญที่สุดคือ รูปสลักนี้ไม่มีท่วงทำนองเทพแล้ว เขาคงฟันสวี่ชิงแลกกับโอกาสรับรู้ไม่ได้กระมัง…
อีกทั้งเขายังรู้สึกว่าใช่ว่าจะสู้ชนะได้ แอบคิดในใจว่าเจ้าเด็กนี่ไม่รู้ว่าซ่อนคมไว้ลึกเพียงใด
ดังนั้นแม้จะสนใจในดาบสะบั้นไพศาลมากๆ แต่ก็จนปัญญา
สวี่ชิงไม่ได้มุ่งหน้าไปยังส่วนลึกของพื้นที่ต้องห้ามท่ามกลางแสงอรุณรุ่งต่อ ต่อให้ด้วยพลังบำเพ็ญของเขาในตอนนี้ก็ยังสัมผัสได้ถึงการจับเป้าหมายจากจิตเทพปฏิปักษ์ที่มาจากในส่วนลึกของพื้นที่ต้องห้ามได้
ดังนั้นหลังจากสวี่ชิงจ้องเพ่งอยู่สองสามครั้ง ก็เลือกที่จะจากไปอย่างไม่ลังเล
“ที่ที่มีศาลเจ้าไพศาลอนันต์โดยปกติแล้วจะผนึกสิ่งแปลกประหลาดดุร้ายบางอย่างเอาไว้ สวี่ชิง พื้นที่ต้องห้ามละแวกบ้านเจ้าแห่งนี้ไม่ธรรมดาเอาเสียเลย”
นายกองสัมผัสได้ถึงการจับเป้าหมายจากจิตเทพที่มาจากส่วนลึกในพื้นที่ต้องห้าม หันมามองอยู่ไกลๆ อย่างมีความนัยลึกซึ้งแวบหนึ่ง บนร่างก็แผ่ไอเย็นเยือกออกมา
สวี่ชิงไม่พูดอะไร ร่างทะยานขึ้น เส้นทางออกไปเขาไม่คิดจะเดินเท้า ตอนนี้อยู่กลางท้องฟ้า เพียงไหววูบก็ทะยานดุจสายฟ้าจากไปไกล นายกองหัวเราะ ทะยานขึ้นฟ้าเช่นกัน เพียงแต่ในตอนที่อยู่กลางท้องฟ้า เขาก็หันกลับไปมองทางศาลเจ้าหลายครั้ง แล้วมองไปทางส่วนลึกของพื้นที่ต้องห้าม
บนท้องฟ้าในส่วนลึกของพื้นที่ต้องห้าม หมอกตอนนี้หลั่งไหลช้าเนิบ ดูแล้วเหมือนผมดำของหญิงสาวปลิวสยายอยู่บนท้องฟ้า จิตอาฆาตเข้มข้นกลุ่มหนึ่งลอยเอ่อจากในส่วนลึกของพื้นที่ต้องห้ามไม่หยุด ผสานไปในหมอก ทำให้ผมยาวยิ่งดกหนา มองไปไกลๆ เหมือนพื้นที่ต้องห้ามแห่งนี้เป็นกะโหลกของผู้หญิงคนหนึ่ง
“ไม่รู้ว่าผนึกสิ่งแปลกประหลาดอะไรเอาไว้ อยากไปดูจังเลย…” นายกองพึมพำ ลังเลเล็กน้อยก็หันหลังเหาะเหินไปหาสวี่ชิงทางนั้น
“สวี่ชิง ต่อไปเจ้าจะไปที่ใดหรือ คงไม่ได้กลับสำนักไปเช่นนี้หรอกใช่หรือไม่” มาถึงข้างกายสวี่ชิง นายกองก็บิดขี้เกียจ หยิบผิงกั่วออกมาลูกหนึ่ง กินไปด้วยถามไปด้วย
“ข้าว่าจะหาตลาดมืด ขายอะไรสักหน่อย” สวี่ชิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง
“ไปขายของที่ตลาดมืดหรือ ของผิดกฎหมายหรือ” นายกองตาวาววาบ
สวี่ชิงมองนายกองแวบหนึ่งแล้วพยักหน้า
“ให้ข้าดูหน่อย ไม่เช่นนั้นขายให้ข้าก็ได้ ข้าชอบของผิดกฎหมายที่สุดเลย” นายกองสนอกสนใจ สวี่ชิงลังเลเล็กน้อย เขารู้สึกว่าขายให้กับคุ้นเคยกันไม่ใช่เรื่องดีเท่าไร หากพบว่าอาวุธเวทเหลือเพียงแค่เปลือกชั้นเดียว ใช้แรงแตะไปเพียงเล็กน้อยก็แตก อีกฝ่ายก็จะมาหาตนทันที
“ของพวกนี้เหมาะที่จะขายในตลาดมืด” สวี่ชิงปฏิเสธอ้อมค้อม
“อาชิงน้อย ข้าต้องตำหนิเจ้าแล้ว คนเราจะงกแบบนี้ไม่ได้ ของดีขายให้ใครก็คือขายไม่ใช่หรือ ดูถูกข้าเช่นนั้นหรือ ข้ามีเงินนะ!” นายกองถลึงตาใส่
สวี่ชิงสีหน้าแปลกประหลาด กระแอมทีหนึ่ง ก็ตัดสินใจว่าไม่หลอกนายกองดีกว่า ดังนั้นแล้วจึงไม่ขานตอบรับคำของอีกฝ่าย เร่งความเร็วพุ่งไปข้างหน้า มุ่งตรงไปที่ค่ายกลส่งข้ามเมืองเขากวาง
ส่วนตลาดมืดที่เลือก ก่อนที่เขาจะมาก็สืบจากทางบรรพจารย์สำนักวัชระทางนั้นแล้ว
ในที่แห่งหนึ่งที่มีชื่อว่าเหมันต์ทมิฬอยู่ใกล้กับพื้นที่ลัทธินอกวิถี ความกันดารรอบๆ สาหัสรุนแรงกว่าทุ่งสีชาดเสียอีก ดังนั้นจึงไม่ได้รับความสำคัญจากขั้วอำนาจฝ่ายต่างๆ ทว่าที่นี่รวมบุคคลร้ายกาจจำนวนหนึ่งเอาไว้ ค่อยๆ กลายเป็นร้านแลกเปลี่ยนที่ตลาดมืด
และของที่เขาจะขายก็ล้วนเป็นอาวุธเวทที่บรรพจารย์สำนักวัชระดูดซับไปแล้วเจ็ดแปดส่วน ทั้งยังปลอมขึ้นมาอีกต่างหาก แต่เดิมสวี่ชิงไม่คิดจะขาย แต่ค่าใช้จ่ายในการหลอมแมลงสีดำของเขาเมื่อก่อนหน้านี้ก็มหาศาลเหลือเกิน
ตอนนี้หินวิญญาณในกระเป๋าไม่มากแล้ว ดังนั้นสวี่ชิงจึงคิดถึงอาวุธเวทเจ็ดแปดชิ้นนั้นของตัวเอง…
“ขายเสร็จก็กลับสำนัก” สวี่ชิงตัดสินใจในใจ จากการห้อตะบึงก็เข้าใกล้เมืองเขากวางมาเรื่อยๆ อีกเพียงครึ่งก้านธูปก็จะถึงเมืองเขากวางแล้ว แต่เงาร่างของสวี่ชิงจู่ๆ ก็หยุดชะงักกลางอากาศ ก้มหน้ามองไปที่พื้น
ที่พื้นตอนนี้มีขบวนรถขบวนหนึ่งกำลังมุ่งหน้าไปทางเมืองเขากวาง
ขบวนรถมีรถม้าถึงสามสิบกว่าคัน ตัวรถทั้งคันตั้งแต่บนจรดล่างล้วนเป็นสีดำ แม้แต่คนบนรถและองครักษ์ที่อยู่รอบๆ ก็ล้วนสวมชุดสีดำทั้งสิ้น
ทำให้คนรู้สึกเต็มไปด้วยความน่าขนลุกและเยือกเย็น ในพื้นที่แห่งนี้ ขบวนขนาดเท่านี้ ทั้งยังทำให้คนรู้สึกแบบนี้ เช่นนั้นโดยพื้นฐานแล้วที่นี่ไม่มีขั้วอำนาจใดกล้าหาเรื่อง
โดยเฉพาะในนั้นยังมีผู้แข็งแกร่งระดับรวมปราณขั้นสูง กลิ่นอายแผ่ซ่าน แฝงด้วยพลังอำนาจกดดันที่สำหรับผู้บำเพ็ญรวมปราณแล้วไม่ธรรมดาเลย นอกจากนั้น บนรถม้าคันหนึ่งตรงกลาง สวี่ชิงยังเห็นชายชราคนหนึ่ง
พลังบำเพ็ญของชายชราคนนี้เป็นระดับสร้างฐาน แต่ยังไม่ถึงขั้นที่จุดไฟชีวิตเปิดสภาวะแสงนภาได้ ในสายตาสวี่ชิง ระลอกคลื่นพลังเวทในตัวของอีกฝ่ายน่าจะเปิดช่องเวทได้สิบห้าช่อง
ส่วนในรถม้าคันอื่น คนนอกบางทีอาจจะสัมผัสไม่ได้ แต่ในสายตาสวี่ชิงกลับมองเห็นอย่างชัดเจน บนรถม้าทุกคันล้วนมีกรงขังกรงหนึ่ง ในนั้นคุมขังคนเก็บกวาดจำนวนไม่เท่ากัน
มีผู้หญิงมีผู้ชาย ส่วนมากเป็นเด็ก สลบไสลกันหมด ขณะเดียวกันก็มีผู้ใหญ่จำนวนหนึ่งที่ยังมีสติอยู่ แต่สีหน้าท้อแท้หดหู่ ทั้งตัวไร้แรง นอนอยู่ในกรงขังด้วยแววตาสิ้นหวัง



ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา