บทที่ 30 ของขวัญที่คาดไม่ถึง
ท้องฟ้าสีดำสนิท มองไม่เห็นดวงดารา มีเพียงจันทร์กระจ่างลอยสูง เมฆทมึนลอยผ่านไปเป็นริ้วๆ
ลมแรงมาก แต่กลับไม่ส่งผลกระทบถึงการไหลหลั่งของแสงจันทร์
แสงจันทร์สุกสกาว ราวสายน้ำหลั่งรินลงสู่โลกมนุษย์
สิ่งเหล่านั้นส่วนหนึ่งสาดส่องลงมาในฐานที่มั่นคนเก็บกวาด ตกกระทบมายังเรือนที่สวี่ชิงพัก คลุมลงมาบนร่างสองร่างที่หน้าประตู
นายท่านเจ็ดในชุดคลุมม่วง ยืนเอามือไพล่หลังตรงนั้นอยู่สักพัก ใบหน้าชราภาพใต้แสงจันทร์ครุ่นคิดไตร่ตรอง ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
ผู้ติดตามไม่คิดจะรบกวน จึงเฝ้ารออยู่เงียบๆ
ส่วนสุนัขป่ารอบด้านไม่ได้รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าสองคนนี้ในสายตาพวกมันไม่ได้มีตัวตนอยู่ จึงนอนพังพาบอยู่ตรงนั้นไม่มีอะไรผิดปกติ
รอบด้านเงียบเชียบ มีเพียงเสียงหัวเราะและเสียงร้องจากพื้นที่รอบๆ ที่ดังก้องมาเป็นระยะ
และหลังจากสองประโยคนั้น ด้านในเรือนก็ตกเข้าสู่ความเงียบงัน มีเพียงเสียงลมหายใจดังออกมาแผ่วเบา
เวลาไหลผ่าน หลังจากหนึ่งชั่วก้านธูป นายท่านเจ็ดที่ยืนอยู่หน้าประตูก็ถอนหายใจเบาออกมาเสียงหนึ่ง ไม่ได้ผลักประตูเปิด แต่หันหลังกลับเดินออกไปด้านนอก
“เอาป้ายแนะนำให้เขาชิ้นหนึ่งแล้วกัน” นายท่านเจ็ดที่เดินมาถึงประตูเรือน เอ่ยขึ้นเสียงต่ำ
“สีอะไรหรือขอรับ” ผู้ติดตามถามขึ้นมา
“ธรรมดาที่สุด แล้วก็ไม่ต้องพูดอะไรกับเขามากนัก” นายท่านเจ็ดเดินผ่านประตูเรือนค่อยๆ จากไป
ผู้ติดตามดวงตาแข็งค้าง ในใจเกิดคลื่นอารมณ์ขึ้นมาวูบหนึ่ง
หลายวันนี้ที่เขาติดตามนายท่านเจ็ดอยู่ในฐานที่มั่น เห็นนายท่านเจ็ดใส่ใจเด็กคนนี้หลายต่อหลายครั้งด้วยตาตนเอง
นายท่านเจ็ดก็ยังเคยเข้าไปทักทายปรมาจารย์ไป่ในภายหลังที่นั่นอีก ทั้งหมดนี้ทำให้เขารู้ว่า วาสนาของเด็กน้อยคนนี้มาถึงแล้ว ดังนั้นครั้งที่แล้วเขาจึงถามว่าจะมอบป้ายแนะนำให้เขาสักชิ้นหรือไม่
ป้ายแนะนำ เป็นคุณสมบัติในการเข้าสำนักเจ็ดเนตรโลหิต คนที่มีป้ายแนะนำจะสามารถเข้าร่วมการทดสอบ หากสำเร็จสามารถฝากตัวเข้าเป็นศิษย์สำนักได้
และป้ายแนะนำก็มีการแบ่งสีไว้ สีม่วงคือสูงที่สุด เป็นสัญลักษณ์แทนตัวว่าเมื่อเข้าสำนักก็จะกลายเป็นศิษย์หลักของสำนัก สีเหลืองเป็นระดับกลาง เป็นสัญลักษณ์แทนตัวว่าเมื่อเข้าสำนักจะกลายเป็นศิษย์สำนักสายใน ส่วนสีขาวคือธรรมดาที่สุด เมื่อเข้าสู่สำนักจะเป็นเพียงศิษย์ธรรมดาเท่านั้น
จากความรู้สึกของผู้ติดตาม นายท่านเจ็ดอย่างน้อยก็น่าจะมอบป้ายแนะนำสีเหลืองให้ แต่ตอนนี้กลับเป็นแค่สีขาวเท่านั้น และ…ยังเน้นมาอีกว่าไม่ให้เขาพูดมาก
สถานการณ์ไม่ปกติเช่นนี้ ทำให้เขาอดครุ่นคิดไม่ได้ ในใจก็เต้นถี่ขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่ด้วย
“คำตอบมีเพียงข้อเดียว นายท่านเจ็ดให้ความสำคัญอย่างมากต่อเด็กคนนี้ ไม่เพียงแต่จะรับเข้าสำนักเท่านั้น แต่ยังเกิด…ความคิดที่จะรับเป็นศิษย์อีกด้วย ดังนั้นจึงคิดจะทดสอบเสียหน่อยหรือ ฝ่าพระบาทสามคนก่อนหน้าก็เข้ามาเช่นนี้ หรือยอดเขาลำดับเจ็ดจะปรากฏศิษย์สายตรงคนที่สี่แล้วกัน”
ผู้ติดตามเข้าใจถึงน้ำหนักของคำว่าศิษย์สายตรงคำนี้เป็นอย่างดี หรือก็คือเมื่อกลายเป็นศิษย์สายตรงของนายท่านเจ็ด เช่นนั้นคนผู้นั้นก็จะกลายเป็นที่จับตามองของขั้วอำนาจต่างๆ ในทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณทันที
แต่เขาก็ยังรู้สึกว่าความเป็นไปได้นี้มีไม่มากนัก ถึงอย่างไรนายท่านเจ็ดก็ไม่ได้รับศิษย์มานานแล้ว
อย่างไรก็ตาม ตนเองก็ยังต้องคอยใส่ใจเด็กน้อยคนนี้ เมื่อคิดถึงจุดนี้ ผู้ติดตามก็สูดลมหายใจลึก เก็บงำอารมณ์ แล้วค่อยๆ เคาะประตูห้องของสวี่ชิง
ทันทีที่เสียงก๊อกๆ ดังเข้ามาในห้อง เสียงลมหายใจเข้าออกก็สลายไปในพริบตา
พริบตาต่อมา ผู้ติดตามก็เผยรอยยิ้มมุมปาก ร่างกายเลือนหายไป ตอนที่ปรากฏตัวอีกครั้งก็มาอยู่ที่หลังห้องแล้ว!
มุมกำแพงด้านหลังห้อง ที่นั่นมีรูอยู่ช่องหนึ่งถูกกองอิฐวางบังเอาไว้ซ่อนอยู่ลึกลับมาก เหมือนถูกขุดออกไปแล้วได้สักพักหนึ่ง
ตอนนี้ร่างเงาสวี่ชิงพุ่งจากด้านในสู่ด้านนอกอย่างรวดเร็ว คิดจะอ้อมตัวไปสังเกตคนที่เคาะประตู แต่ครู่ต่อมาร่างกายของเขาก็ชะงักนิ่งเพราะการปรากฏตัวของผู้ติดตาม
สวี่ชิงม่านตาหดลง จ้องมองร่างเงาที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นราวกับบีบเข้ามาในดวงตาของตน รู้สึกอึดอัดในใจ
เงาตรงหน้าคือชายกลางคนคนหนึ่ง สวมชุดคลุมยาวสีเทา ใบหน้าธรรมดาสามัญอย่างมาก สิ่งที่ดึงดูดสายตาที่สุดคือกลางหน้าผากเขามีรูปห้าแฉกประดับไว้อยู่รูปหนึ่ง กำลังเปล่งแสงหม่น แสงจันทร์รอบด้านล้วนถูกผลกระทบจนบิดเบี้ยวไป
ความรู้สึกบีบคั้นที่รุนแรงยิ่งตามมา สวี่ชิงลมหายใจหอบถี่เล็กน้อย ออกแรงกำเหล็กแหลมที่อยู่ในมือขวา มือซ้ายเองก็กำพิษไว้กำหนึ่งอย่างแนบเนียน
อีกฝ่ายปรากฏตัวแปลกประหลาดมาก ยิ่งไปกว่านั้นยังให้ความรู้สึกสูงส่งกว่าพี่ชายของเด็กสาวที่พบเมื่อหลายวันก่อนอีกด้วย
โดยเฉพาะสายตาของอีกฝ่าย ทำให้เลือดเนื้อทั้งตัวของเขาสั่นระริกขึ้นมาทันทีราวกับกำลังตะโกนบอกกับเขาว่าคนตรงหน้านี้อันตรายถึงขีดสุดเลยทีเดียว!
จุดนี้ทำให้ความระแวดระวังของสวี่ชิงพุ่งขึ้นถึงขีดสุด เลือดเนื้อที่สั่นระริกก็ไม่ใช่แค่สัญญาณอันตรายเท่านั้น ขณะเดียวกันยังบอกแก่เขาว่า ร่างกายเตรียมพร้อมสำหรับการกระทำทั้งหมดต่อจากนี้แล้วด้วย
หัวสมองสวี่ชิงมีการจำลองสถานการณ์สำหรับอันตรายที่ตนเองจะพบในที่พักไว้แล้วหลายครั้ง และการที่สุนัขป่าไม่ส่งเสียงร้อง ยิ่งไปกว่านั้นตัวเขาก็ยังสัมผัสไม่ได้เลยจะเป็นสถานการณ์ที่อันตรายที่สุดในการจำลองของเขา
เวลานี้ดวงตาหรี่ลง ร่างของสวี่ชิงค่อยๆ ถอยหนี
“ข้าไม่มีเจตนาร้าย” พอเห็นเด็กน้อยท่าทางเหมือนลูกหมาป่าแรกเกิด ที่พร้อมจะระเบิดออกมาทุกเมื่อ ผู้ติดตามจึงหัวเราะขึ้น
มองรูบนกำแพงด้านหลังสวี่ชิง เขาจึงคิดขึ้นมาได้ ว่านี่น่าจะเป็นทางหนีทีไล่ของเด็กน้อยที่มีไว้เพื่อป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้นได้ในที่พัก
‘สามารถเตรียมการเช่นนี้ไว้ล่วงหน้า ทั้งยังไม่ลุกลี้ลนลานตอนเกิดเรื่องไม่คาดคิด แล้วยังเฝ้ารอโอกาสตอบโต้อีก มิน่านายท่านเจ็ดจึงให้ความสำคัญกับเด็กคนนี้นัก’
ในสมองผู้ติดตามปรากฏภาพฉากที่สวี่ชิงตัดคอของเจ้าม้าและสังหารเจ้าอ้วนขึ้นมา ดวงตาเกิดแววชื่นชม ยกมือหยิบเอาป้ายแนะนำสีขาวออกมาชิ้นหนึ่ง โยนไปทางสวี่ชิง
สวี่ชิงไม่ได้รับ กระโจนตัวขึ้น ตอนที่ร่างกายถอยหนีก็สาดพิษกำหนึ่งออกมาฉับพลัน ในกลุ่มพิษยังมีกริชที่เย็นเยียบสองเล่ม พุ่งหวีดหวิวออกไปจากในนั้นอีกด้วย
แต่พริบตาต่อมา สวี่ชิงเบิกตาโพลงฉับพลัน เขามองเห็นกริชของตนเองทะลุผ่านร่างชุดคลุมสีเทา ปักเข้าไปบนกำแพงด้านหลังอีกฝ่าย ราวกับอีกฝ่ายไม่มีร่างจริงอยู่อย่างไรอย่างนั้น ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเลยแม้แต่น้อย
และการสาดพิษก็เช่นเดียวกัน ทะลุผ่านร่างของเขาไปกองอยู่บนพื้น
ฉากนี้ ทำให้ประสาทสัมผัสของสวี่ชิงเครียดขึงขึ้นในพริบตา สูดลมหายใจคิดจะถอย
ตอนนี้เอง คนชุดคลุมเทาจึงหัวเราะขึ้น ร่างกายค่อยๆ สลายไปจากสายตาของสวี่ชิง
เริ่มจากสองขา จากนั้นก็ลำตัว จนตอนที่ศีรษะสลายไป เสียงของเขาจึงดังก้อง
“เด็กน้อย มีคนให้ข้าส่งป้ายแนะนำชิ้นนี้กับเจ้า มันเป็นคุณสมบัติในการเข้าสู่สำนักเจ็ดเนตรโลหิตได้ ในแผนที่ด้านหลัง ทุกๆ เมืองย่อย เจ้าสามารถถือป้ายแนะนำเข้าไปก็จะสามารถส่งตัวเจ้าไปยังสำนักได้ครั้งหนึ่ง”
หลังจากคำพูดนี้เปล่งออกมา ร่างของคนติดตามก็หายไปราวกับว่าไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน สวี่ชิงที่มองเห็นทั้งหมดนี้ก็นิ่งงันอยู่นาน
เขาสัมผัสได้ถึงความประหลาดของอีกฝ่าย และซาบซึ้งถึงความอ่อนแออย่างไม่มีทางเลือก
จนผ่านไปครู่หนึ่ง สวี่ชิงจึงเดินไปดึงกริชของตนเองออกมาเงียบๆ ก้มหน้าลงมองป้ายแนะนำบนพื้น
ป้ายแนะนำสีขาวมีลายดอกไม้ซับซ้อนสลักไว้หงายขึ้น เต็มไปด้วยความโบราณและเรียบง่ายภายใต้การสะท้อนแสงของแสงจันทร์
สวี่ชิงครุ่นคิด สวมถุงมือแล้วหยิบมันขึ้นมาตรวจสอบอย่างระมัดระวัง
ด้านหลังป้ายแนะนำเป็นแผนที่หนึ่ง ด้านบนมีจุดนูนมากมายนับร้อย ทำสัญลักษณ์ของเมืองแต่ละเมืองเอาไว้
“เจ็ดเนตรโลหิต…” สวี่ชิงงึมงำ
เคยได้ยินเจ็ดเนตรโลหิตจากหัวหน้าเหลย และรู้มาว่านี่คือหนึ่งในขั้วอำนาจที่โหดร้ายใหญ่โตไม่กี่แห่งในทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ คนที่อยากจะฝากตัวเข้าสำนักในทุกปีก็มีจำนวนมหาศาล
แต่การเข้าไปในสำนักเจ็ดเนตรโลหิตนั้นเคร่งครัดอย่างมาก ไม่ใช่คิดจะเข้าไปก็เข้าไปได้ จำเป็นต้องมีป้ายแนะนำเข้าสำนักด้วย แต่การแจกจ่ายป้ายแนะนำนี้ก็พบเห็นได้น้อยมาก
สวี่ชิงไม่รู้ว่าเหตุใดตนเองจึงได้รับ และไม่รู้จักคนชุดเทานั้นเลย และก็ยิ่งไม่รู้ว่าป้ายแนะนำเป็นของจริงหรือไม่



ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา