บทที่ 312 การเปลี่ยนแปลงที่น่าตกตะลึง!
ภาพฉากที่เกิดขึ้นกะทันหัน สั่นสะเทือนไปทั้งแปดทิศ แต่ละสำนักของพันธมิตรแปดสำนัก ล้วนพากันหน้าเปลี่ยนสี บรรพจารย์หลิงอวิ๋นที่แม่น้ำร่างกายลอยขึ้นฟ้ากะทันหัน พุ่งไปทางเมืองพันธมิตรแปดสำนัก
หลังจากพริบตาที่มาถึง เขายืนอยู่กลางอากาศ มองเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องที่กางแขนจ้องมองเสี้ยวหน้าเทพเจ้าบนฟากฟ้าด้วยหน้าบูดเบี้ยว จากนั้นก็ก้มหน้ามองต้นไม้ใหญ่สีเลือดที่งอกแทงพื้นเจ็ดเนตรโลหิตขึ้นมา เงียบนิ่งไปไป
คนที่สามารถควบคุมของวิเศษต้องห้ามสำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้าได้ มีเพียงสามคนเท่านั้น คนหนึ่งคือเขา อีกคนหนึ่งคือเจ้าสำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้า และอีกคนหนึ่งก็คือลูกคนโตของเขา หรือก็คือคนที่ถูกกำหนดให้เป็นเจ้าสำนักคนถัดไป
บิดา…ของเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่อง!
“ฉู่เทียนฉวิน!” บรรพจารย์หลิงอวิ๋นมองสำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้า เอ่ยเสียงขรึม เสียงก้องไปทั้งแปดทิศ
“ท่านพ่อ” ในสำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้า ชายหนุ่มกลางคนคนหนึ่งเดินออกมา ลอยขึ้นกลางอากาศ ยืนอยู่ข้างกายเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่อง ประสานหมัดให้กับบรรพจารย์หลิงอวิ๋นที่อยู่ห่างออกไป
บิดาของเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องที่นายท่านเจ็ดโบกมือจนตัวเละในเจ็ดเนตรโลหิตที่ทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณเมื่อครั้งนั้นนั่นเอง
“ทำไมเจ้าถึงทำเช่นนี้!” บรรพจารย์หลิงอวิ๋นเอ่ยเสียงต่ำ
“ท่านพ่อ คำถามนี้ท่านยังไม่เข้าใจอีกหรือ” บิดาของเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องยิ้มเหมือนไม่ยิ้ม แต่ดวงตากลับเผยความเคียดแค้นออกมา จ้องบรรพจารย์หลิงอวิ๋นเขม็ง
“ลูกชายข้าบริสุทธิ์ ตอนเกิดมาไม่มีทางเป็นร่างผสาน เดิมคือคู่แฝด แต่ท่านพ่อแอบลงมือ ทำให้พวกเขากลืนกินกันเอง ใช้วิธีนี้เลี้ยงกู่
“เป้าหมายของท่าน ไม่ใช่คิดจะครองร่างลูกชายข้า แล้วให้กำเนิดอีกชาติหนึ่งของท่านหรอกหรือ ตะเกียงแห่งชีวิตดวงนั้นดูเหมือนสร้างขึ้น แต่มันก็แฝงท่วงทำนองเทพของท่านไว้ด้วย ลูกชายข้าจะเป็นหรือตายก็อยู่ที่ความคิดท่านเท่านั้น
“ตะเกียงแห่งชีวิตถูกช่วงชิง ใจข้าอันที่จริงก็ยินดีอยู่ แต่หากไม่แสดงความเคืองแค้นออกมา ก็กลัวว่าท่านไม่ชอบ ข้าจึงทำตามสิ่งที่ท่านชอบไปเลย
“และเดิมทีข้าคิดว่าเรื่องหลังจากนี้ ท่านจะดับความโลภในตัวลูกชายข้าแล้ว แต่ท่านพ่อ ท่านก็สมกับเป็นบรรพจารย์เสียจริง กลับเอาลูกชายข้ามาแลกเปลี่ยนกับประธานพันธมิตร ท่านครองร่างไม่ได้ จึงส่งต่อให้กับเจ้าพันธมิตรเพื่อนำไปชุบเลี้ยงร่างแยก
“พันธมิตรเช่นนี้ ข้าเคียดแค้นเดือดดาล บิดาเช่นนี้ ข้าเกลียดจนอยากจะทึ้งเลือดทึ้งเนื้อ จึงทรยศมันเสียเลย!
“เดิมทีข้าก็ต้องขอบคุณเจ็ดเนตรโลหิต แต่ทำร้ายลูกข้า ลูกข้าก็เกลียดชังจนเข้ากระดูกดำ เดิมทีข้าจึงคิดจะเล่นละครสีเลือดนี้ที่สำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้า แต่สุดท้ายเพื่อเติมเต็มความยึดติดของลูกชายข้า จึงเปลี่ยนมาดำเนินการที่เจ็ดเนตรโลหิตแทน”
“เจ้าหนีไม่รอดหรอก” บรรพจารย์เหลือบมองลูกชายคนโตอย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะตอนที่มองใบหน้าของเขา ก็เหมือนจะมีเส้นสนกลในอยู่รางๆ สีหน้าปั้นยากกว่าเดิม
บิดาของเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องยิ้มบาง ใบหน้าขยุกขยิก หน้ากากชิ้นหนึ่งปรากฏออกมา ลวดลายคือเสี้ยวหน้าเทพเจ้า ขณะที่ดูเต็มไปด้วยความน่าสะพรึง คลื่นพลังผันแปรที่ยิ่งใหญ่มหาศาลวูบหนึ่งระเบิดไปรอบทิศ
นี่ไม่ใช่พลังของเขา แต่เป็นพลังวิเศษที่แฝงอยู่ในหน้ากาก ก่อตัวขึ้นเป็นเกราะคุ้มกัน ครอบไปทั้งสี่ด้าน
มีเกราะคุ้มกันนี้ เขาที่แม้จะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของบิดา แต่การจะคุ้มครองเขากับลูกชายไว้สักหนึ่งชั่วก้านธูป ก็ยังถือว่าทำได้
“มีคนมารับ ขอแค่ข้าทนได้สักหนึ่งชั่วก้านธูปก็พอ”
ขณะเดียวกัน ในเจ็ดเนตรโลหิตอีกด้าน ต้นไม้ใหญ่สีเลือดที่ครืนครันออกมาเวลานี้ กลิ่นอายน่าหวาดหวั่นกวาดเป็นเส้นขนาน ฟ้าดินเปลี่ยนสี เมฆพัดม้วน ทั้งเจ็ดยอดเขาสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง หินภูเขาหลุดร่วง พื้นดินทั้งสำนักเจ็ดเนตรโลหิตสั่น เขาโยกไหว!
พลังทำลายล้างสำนักที่มาจากของวิเศษเวทต้องห้ามระเบิดออกจนสิ้น ทำให้ตัวภูเขาเหมือนจะถล่มลงมา และมีเงาเลือดมหาศาลแผ่ออกมาจากต้นไม้สีเลือดต้นนั้น พร้อมกับเสียงร้องแหลมและความโหดร้ายทารุณโถมไปทุกทิศทาง
มองไกลๆ เจ็ดเนตรโลหิตดูเลือนลางขึ้นมา ศิษย์ทั้งหมดพากันจิตวิญญาณสั่นสะท้านอย่างบ้าคลั่ง
แต่…หลังจากเจ็ดเนตรโลหิตเข้าร่วมพันธมิตร การป้องกันที่จำเป็นจะไม่มีได้อย่างไร ยิ่งนายท่านเจ็ดกับเสี่ยเลี่ยนจื่อก็เป็นพวกจอมวางแผนอยู่แล้ว ตอนนี้เมื่อต้นไม้สีเลือดปรากฏออกมา เสี่ยเลี่ยนจื่อก็ปรากฏตัวทันที กลายเป็นเส้นสีแดงนับไม่ถ้วนพุ่งตรงไปยังต้นไม้สีเลือด ในดวงตาก็มีความละโมบยิ่งกว่า
ร่างของนายท่านเจ็ดปรากฏขึ้นเช่นกัน พุ่งตรงไปยังต้นไม้สีเลือด ร่วมมือกับเสี่ยเลี่ยนจื่อสะกดมันที่ฝั่งตรงข้าม
กระทั่งของวิเศษเวทต้องห้ามเจ็ดเนตรโลหิตบนแผ่นดินเผ่าสิงซากสมุทรก็ยังปรากฏขึ้นในตอนนี้ ดวงตาทั้งเจ็ดเปิดขึ้นพร้อมกัน กระจกโบราณบานยักษ์นั้นก็เพ่งเป้ามาที่เจ็ดเนตรโลหิตทางนี้ในพริบตา
ต้นไม้ยักษ์สีเลือดต้นนั้นสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงภายใต้การสะกด ขณะที่คลื่นผันแปรที่น่ากลัวถูกสะกดไว้ บนลำต้นมันก็ปรากฏดวงตาขึ้นมาหนึ่งดวง จากนั้นก็ดวงที่สอง ดวงที่สาม ทยอยปรากฏขึ้นมา
ดวงตานี้ คือดวงตาของของวิเศษเวทเจ็ดเนตรโลหิต
และในการปรากฏตัวของดวงตาเหล่านี้ พลังช่วงชิงที่น่าตกตะลึงวูบหนึ่งก็ระเบิดออกมา
เจ็ดเนตรโลหิต…คิดจะใช้จังหวะนี้ ทำการยึดครองของวิเศษเวทสำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้า พูดได้ยากมากว่าภาพนี้มีการตระเตรียมเอาไว้ก่อนล่วงหน้าหรือไม่
คนที่เข้าร่วมกับเรื่องนี้มีเงื่อนไขทางด้านพลังบำเพ็ญ ทั่วทั้งเจ็ดเนตรโลหิตมีเพียงบรรพจารย์กับนายท่านเจ็ดเท่านั้นที่ลงมือได้ ทำการใช้ของวิเศษเวทต้องห้ามเจ็ดเนตรโลหิตเข้าสะกดต้นไม้สีเลือดไว้ทุกด้าน
ขณะเดียวกัน แม้จิตวิญญาณศิษย์คนอื่นๆ จะสั่นสะเทือน แต่ภายใต้การสั่งการของเจ้ายอดเขา ก็ลงมือขจัดเงาสีเลือดที่แปรมาจากคลื่นความผันแปรของต้นไม้สีเลือดได้ทันที
ดูเหมือนเจ็ดเนตรโลหิตจะสับสนวุ่นวาย แต่อันที่จริง…ทั้งหมดล้วนอยู่ในแนวโน้มที่ดี
จินตนาการได้ว่า หากเจ็ดเนตรโลหิตสะกดของวิเศษต้องห้ามสำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้าได้ เช่นนั้นเจ็ดเนตรโลหิตก็จะมีของวิเศษเวทต้องห้ามสองชิ้น พลังของพวกเขาก็จะเพิ่มพูนขึ้นอย่างระเบิดระเบ้อแน่นอน
ภาพนี้ ดึงดูดการจับตามองของบรรพจารย์จากสำนักอื่นด้วย แต่ก็เหมือนกับพ่อลูกเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องที่ทั้งมั่นใจในตนเองและผ่อนคลาย สีหน้าพวกเขายังเฉยเมย ไม่ได้ให้ความสำคัญมากอย่างที่จินตนาการไว้ เพราะว่าเรื่องครั้งนี้ ปัจจุบันมันชัดเจนแล้ว
พ่อลูกเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องสำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้าทรยศสำนัก เปิดการแสดงสีเลือด จึงทำให้แม่น้ำปนเปื้อน ตอนที่ดึงดูดความสนใจของพันธมิตร ก็เริ่มเปิดใช้งานของวิเศษต้องห้าม
ส่วนคนที่ชมอยู่ย่อมเป็นเทียนประทีป ถึงอย่างไรก็มีแต่เทียนประทีปเท่านั้น ถึงมีกฎเกณฑ์การแสดงสีเลือดเช่นนี้
เช่นนั้น เทียนประทีปที่ชมการแสดงสีเลือด จะต้องอยู่ในพันธมิตรแน่นอน

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา