บทที่ 335 สาวกหญิงลัทธินอกวิถี
ตอนนี้บนท้องฟ้าส่งเสียงดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วผืนฟ้า ร่างแยกทั้งสองร่างของเทพวิญญาณโยวจิงสู้กับผู้อาวุโสผู้ครองกระบี่สามคน สะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วฟ้าดิน
อีกทั้งไม่ได้จำกัดอยู่แค่ที่นี่เท่านั้น แต่ยังพุ่งไปบนท้องฟ้า ที่ปลายขอบฟ้าไกลจนสุดสายตานั่นก็ยังโหมโรมรันกันสุดกำลัง
ทุกอย่างบนพื้นดิน พวกเขาทั้งสองฝ่ายไม่สนใจอะไรแล้ว ยิ่งไม่อาจเสียสมาธิได้
ความจริงแล้วในฐานะที่เป็นหนึ่งในสามดวงจิตของจักรพรรดิภูต เทพวิญญาณโยวจิงแม้จะอยู่ในระดับหวนคืนสู่อนัตตาขั้นหนึ่ง แต่ความไม่ธรรมดาของชาติกำเนิดทำให้กำลังรบของนางน่าครั่นคร้าม เทียบได้กระทั่งขั้นสูงสุดของขั้นที่หนึ่ง
สิ่งที่เกินสมควรไปยิ่งกว่านั้นคือนางยังมีความเป็นอมตะ นอกเสียจากว่าสามจิตเจ็ดวิญญาณจะแตกดับพร้อมกัน ไม่เช่นนั้นพลังชีวิตของนางไร้ขีดจำกัด
นี่ก็เป็นเหตุผลที่ทำไมหลายปีก่อนหน้านี้โถงครองกระบี่มณฑลรับเสด็จราชันจึงไม่ได้ลงมือกับสามเทพวิญญาณ ทั้งสามตนนี้จัดการยากเป็นอย่างยิ่ง
แต่ว่า วันนี้โถงครองกระบี่มาด้วยความมุ่งมั่นว่าจะต้องชนะ ดังนั้นการลงมือของสามผู้อาวุโสโถงครองกระบี่ก็ทำให้เทพวิญญาณโยวจิงตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบไปในทันที จำต้องเข้าโรมรัน ต่อสู้อยู่บนท้องฟ้าสูง ยากจะไปสนใจบนพื้น
บนพื้น ในเสี้ยวพริบตาที่สวี่ชิงและนายกองพุ่งออกไป ทางด้านเยื้องไปทางขวาของพวกเขา บริเวณที่ห่างจากศีรษะของร่างแยกเทพวิญญาณโยวจิงอีกสิบกว่าจั้งตรงนั้น หญิงสาวชุดแดงกัดฟันคลาน
นางเห็นการกระทำชิงตัดหน้าของทั้งสองคนนั้นในใจเคียดแค้นเป็นอย่างยิ่ง หลังจากที่นางออกมาจากถ้ำ เนื่องจากผลเก็บเกี่ยวช่างน้อยนิดนักจึงคิดว่าจะไปดูที่อื่นสักหน่อย จนกระทั่งเห็นร่างแยกเทพวิญญาณโยวจิงร่างนี้ตกลงมา
หลังจากเห็นความอัศจรรย์ของร่างแยกเทพวิญญาณโยวจิงร่างนี้ นางก็มุ่งหน้ามาอย่างรวดเร็วโดยไม่ลังเลใดๆ ทั้งสิ้น เป้าหมายก็คือศีรษะของร่างแยกเทพวิญญาณโยวจิงร่างนี้
จากข้อมูลที่นางถืออยู่ ร่างแยกของเทพวิญญาณโยวจิงล้วนเป็นประเภทต้นไม้วิญญาณ และจุดที่ยอดเยี่ยมที่สุดของตัวตนประเภทนี้คือส่วนศีรษะ
“บนร่างของสองคนนี้มีการปิดบังอำพราง มองหน้าตาที่แท้จริงและเป็นคนของขั้วอำนาจใดไม่ออก” สายตาของหญิงชุดแดงเย็นเยียบ ขณะกัดฟันเคียวยมทูตผีร้ายข้างกายก็แผ่ประกายแสงสีดำ
เพียงพริบตา ภายใต้การเพิ่มพลัง ความเร็วของเด็กสาวชุดแดงคนนี้ก็เร่งเร็วขึ้น ใกล้เข้าไปเรื่อยๆ
แต่จะอย่างไรก็ช้าไปแล้ว
ตอนนี้สวี่ชิงและนายกองตอนนี้แบกรับพลังกดดัน ปีนไปถึงบริเวณจมูกของร่างแยกเทพวิญญาณโยวจิงแล้ว
เนื่องจากร่างแยกเทพวิญญาณโยวจิงตนนี้สูงใหญ่นัก ดังนั้นสวี่ชิงและนายกองอยู่บนใบหน้าของร่างแยกตนนี้ก็เหมือนกับไส้เดือนสองตัว
ตอนนี้พวกเขาสองคนกำลังดูดซับอยู่ที่สองข้างจมูกของร่างแยกนี้อย่างสุดกำลัง ข้างๆ พวกเขาก็คือรูจมูกที่มีความสูงเลยหัวคน
การดูดซับของนายกองนั้นบ้าคลั่งมาก เขากอดปีกจมูกเอาไว้ ใบหน้าของเขาที่ปรากฏในรูม่านตาตอนนี้กำลังลืมตาอยู่ ดูแล้วแปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง
แต่กลับมีแรงดูดอย่างทรงพลังแผ่ซ่านออกมาจากรูขุมขนทุกอณูบนร่างของเขา ดูดซับสุดกำลัง
ปีกจมูกข้างที่เขาดูดซับค่อยๆ กลายเป็นสีเทา สีต่างไปจากสีผิวปกติเล็กน้อย
สวี่ชิงก็ไม่น้อยหน้า ตอนนี้ในดวงตาฉายประกายวาววาบ มือขวาขณะเงื้อขึ้นก็โคจรวิชาพรางมารยาชิงมรรคาขึ้น ทำให้มือขวาโปร่งแสงทันที ก่อนจะแตะไปที่ปีกจมูกข้างหน้า
แม้จะไม่สามารถทะลุไปจนสุด แต่ก็ทะลุเข้าไปได้ประมาณหนึ่งชุ่น
พลังเซียนมหาศาลทะลักเข้ามาในร่างสวี่ชิงทันที ส่วนเจ้าเงาและบรรพจารย์สำนักวัชระเห็นได้ชัดว่าคุ้นเคยกับภาพนี้ดี ตอนนี้ต่างเริงร่า แผ่ออกไปดูดซับเช่นกัน
เจ้าเงาปกคลุมไปบนผิวที่อยู่ข้างๆ ส่วนบรรพจารย์สำนักวัชระ…เห็นได้ชัดว่าเนื่องจากคำสัญญาที่ให้ไว้ต่อหน้าสวี่ชิงว่าจะทะลวงขั้นในสามเดือนเมื่อตอนก่อนหน้านี้ ดังนั้นจึงร้อนอกร้อนใจ สู้สุดตัวบินเข้าไปในรูจมูกร่างแยกเทพวิญญาณโยวจิงทันที…
สวี่ชิงกวาดตามองแวบหนึ่ง สีหน้าแปลกประหลาดนิดๆ แต่ก็ไม่ได้ไปสนใจ ตอนนี้ผิวใต้เสื้อผ้าร้อนลวก ภาพสัญลักษณ์วิหคทองหลอมหมื่นวิญญาณฉายวาบ วิหคทองที่อยู่ในนั้นลืมตาขึ้นมา
แต่ว่าภายใต้การควบคุมจากสวี่ชิงไม่ได้ปล่อยให้วิหคทองแผ่ออกไป แต่เคลื่อนไปตามแขนของเขา ผสานไปในปีกจมูก ดูดซับที่นี่
ในขณะที่เสียงร้องอย่างเริงร่ายินดีของวิหคทองดังก้องในใจสวี่ชิง บนผิวใต้ร่มผ้าที่คนอื่นมองไม่เห็น ภาพสัญลักษณ์วิหคทองขยับเคลื่อนไหว หางไม่มีสิบสามหางอีกต่อไป แต่มีถึงสิบเจ็ดหางแล้ว
ตอนนั้นวิหคทองกลืนกินเมี่ยเหมิง หางก็มีถึงสิบสามหางแล้ว ภายหลังสวี่ชิงสู้กับเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่อง วิหคทองยกระดับขึ้นสองขั้น สิ่งที่แสดงให้เห็นหลักๆ ไม่ใช่หางแต่การเปลี่ยนแปลงของร่างกายและคุณสมบัติภายใน ดังนั้นหางก็ยังคงมีสิบสามหางเช่นเดิม
แต่หลังจากที่ยกระดับขึ้นพลังแท้จริงเพิ่มขึ้น ความเร็วรวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง ตอนนี้หางทั้งสิบเจ็ดหางปกคลุมอยู่บนผิวของสวี่ชิงไปครึ่งตัว ต่อให้มีเสื้อผ้าบดบัง แต่ความร้อนก็ยังแผ่ออกมา
เห็นเป็นเช่นนี้ ประกายในดวงตาสวี่ชิงฉายวาบ บังคับวิหคทองดูดซับสุดกำลัง
ดังนั้น เพียงพริบตา ปีกจมูกข้างหน้าเขาก็เปลี่ยนเป็นสีเทาอย่างเห็นได้ด้วยตาเปล่า และจากการถ่ายทอดเข้ามาจากพลังมหาศาลเช่นนี้ วังสวรรค์วังที่สามในร่างสวี่ชิงก็แปรเปลี่ยนเป็นวัตถุจริงอย่างรวดเร็ว
ก่อนหน้านี้ วังสวรรค์วังที่สามของเขาก็แปรสภาพเป็นวัตถุจริงไปแล้วกว่าครึ่ง ตอนนี้ภายใต้การไหลทะลักเข้ามาของพลังเซียน เพียงพริบตาก็แปรสภาพไปถึงเก้าส่วน จนใกล้จะถึงสิบส่วนแล้วเต็มที ขาดอีกเพียงแค่เสี้ยวเดียวเท่านั้น!
นี่คือขีดจำกัดสูงสุดของการแปรสภาพมายาให้เป็นวัตถุจริง
เสี้ยวสุดท้ายต้องบรรจุแก่นลมปราณที่ก่อตัวขึ้นเข้าไปถึงจะเสร็จสิ้นสมบูรณ์ และแก่นลมปราณของผู้บำเพ็ญระดับแก่นลมปราณ ทุกเม็ดล้วนพิถีพิถันมาก ต้องคิดให้ดีก่อนล่วงหน้าว่าจะใช้วิธีการใดก่อมันขึ้นมา
โดยปกติแล้ววัตถุภายนอกก็เป็นทางหนึ่ง ผู้บำเพ็ญระดับแก่นลมปราณวังสวรรค์หลายคนในบรรดาแก่นลมปราณหลายเม็ดของตัวเอง ก็จะมีสามสี่เม็ดที่เลือกเอาไว้เช่นนี้ และวัตถุภายนอกแปรสภาพเป็นแก่นลมปราณเมื่อสะกดเอาไว้ในวังสวรรค์แล้ว ก็จะทำให้วัตถุภายนอกกลายเป็นของวิเศษแก่นวิญญาณของตัวเอง
ยกตัวอย่างเช่นตะเกียงแห่งชีวิตของสวี่ชิงก็เป็นเช่นนี้
ตัวเองก่อแก่นลมปราณขึ้นมาเองก็เป็นอีกทางหนึ่ง วิธีนี้ส่วนมากคือใช้เคล็ดวิชาของตัวเองประทับก่อขึ้น หากสำเร็จก็จะทำให้พลานุภาพของเคล็ดวิชาหรือวิชาตัวเองพุ่งเพิ่มมหาศาล
ดังนั้นการเลือกตัดสินใจเลือกของผู้บำเพ็ญระดับแก่นลมปราณล้วนแตกต่างกันไป

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา