บทที่ 437 อสูรสมุทรบรรพกาลแปรสู่วิถีสวรรค์!
สวี่ชิงคิดถึงตรงนี้ก็ไม่ลังเล เข้าสู่โลกใบเล็กอีกครั้งทันที นั่งขัดสมาธิอยู่บนภูเขาไฟในเขตสิบสามตะวันออก
เงยหน้ามองท้องฟ้า จดจ้องอยู่นานถึงหลับตาทั้งสองลง สัมผัสถึงดวงชีพอสูรสมุทรบรรพกาล
ภายใต้การชักจูงพลังชีวิต ดวงชีพอสูรสมุทรบรรพกาลก็จำแลงในจิตเทพ จับจ้องมาทางสวี่ชิงเช่นกัน
ดวงชีพอสูรสมุทรบรรพกาลนี้ คือสิ่งที่แปรมาจากคัมภีร์แปรสมุทรระดับแปดตอนที่สวี่ชิงอยู่ระดับรวมปราณ ตอนนั้นมีชื่อว่าวาฬบรรพกาลทะเลต้องห้าม ต่อมาเขาก็สัมผัสรับรู้สิ่งมีชีวิตในทะเลต้องห้ามหลายครั้ง จึงมีการเปลี่ยนแปลงรูปร่าง ท้ายสุดก็กลายร่างมาเป็นอสูรสมุทรบรรพกาล
ต่อมาตอนเขาอยู่ระดับสร้างฐานก็ใช้สิ่งนี้แปรเป็นช่องเวทดวงชีพของตน จนกระทั่งมาถึงวังสวรรค์ เนื่องจากลูกกลอนพิษต้องห้าม อสูรสมุทรบรรพกาลจึงต้องหลีกทางให้ก่อน และเนื่องจากพระจันทร์ม่วงปรากฏขึ้น อสูรสมุทรบรรพกาลก็ต้องหลีกทางอีกครั้ง ต่อมาตอนวิชาระดับจักรพรรดิผสานเข้าวังสวรรค์ยังต้องหลีกทางอีกรอบ
จนถึงวันนี้…
“เช่นนั้น ก็ใช้ดวงชีพอสูรสมุทรบรรพกาลแบกรับกฎเกณฑ์ตัดวิถีนี้แล้วกัน”
สวี่ชิงสีหน้าเด็ดขาด ยกมือขวาขึ้นพลันโบกลง ทันใดนั้นบนยอดเขาก็ส่งเสียงครืนครัน นักโทษต่างเผ่าคนหนึ่งถูกเขาคว้าข้ามมิติมา
นี่คืออีกหนึ่งตัวอย่างสุดท้ายที่เขาแลกเปลี่ยนกับนักโทษคนอื่นๆ ถ้ามากกว่านี้…พัสดีคนอื่นก็จะไม่ยอมแลกเปลี่ยนอีกแล้ว
‘น่าจะพอแล้ว’ สวี่ชิงมองมองนักโทษต่างเผ่าตรงหน้าคนนี้ พึมพำในใจ
นักโทษคนนี้มองสวี่ชิงด้วยร่างสั่นเทา ดวงตาเผยแววสิ้นหวัง เขารู้ชะตากรรมของตนเอง จึงเอ่ยอย่างรวดเร็ว
“ใต้เท้า ข้ายอมชักจูงดาบแห่งทัณฑ์สวรรค์มาให้ท่าน ข้ามีโทษหนักรู้ตัวดีว่าไม่มีทางถูกปล่อยไป เพียงหวังว่าหลังจากที่ใต้เท้าได้ประโยชน์แล้ว จะจัดการข้าทิ้ง ให้ข้าหลุดพ้นจากความทรมานจากการลืมความทรงจำเถิดขอรับ”
ต่างเผ่ามีส่งสายตาเว้าวอน
สวี่ชิงไม่พูด ปล่อยเขาลง โยนยาลูกกลอนออก
นักโทษต่างเผ่าคนนี้กัดฟันแน่น หยิบยาลูกกลอนแล้วทะยานออกไปไกล ดวงตาเผยความเด็ดขาดแน่วแน่ หลังจากกลืนลงไปก็กระตุ้นพลังบำเพ็ญสุดกำลัง คิดจะทะลวงขั้น
พริบตาต่อมา บนท้องฟ้าก็ส่งเสียงครืนครัน เมฆหมอกก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว สายอัสนีมหาศาลแล่นแปลบปลาบ แต่เพียงไม่นานดาบสวรรค์ตัดวิถีที่ดูเหมือนก่อตัวขึ้นจากสายอัสนีนับไม่ถ้วนแต่อันที่จริงแปรมาจากกฎเกณฑ์เล่มนั้น ก็ปรากฏบนท้องฟ้าอีกครั้ง
จากแสงดาบที่เจิดจ้า สะท้อนเข้ามาในจิตเทพสวี่ชิง สวี่ชิงสีหน้าเคร่งขรึม เริ่มประทับลงไป
ครั้งนี้เขาไม่เอาดาบที่มองเห็นประทับลงไปในจิตเทพ แต่สลักลงไปที่ร่างดวงชีพอสูรสมุทรบรรพกาลแทน ฉับพลันก็มีเสียงคำรามดังลอดออกมาจากร่างสวี่ชิง ดวงชีพอสูรสมุทรบรรพกาลจำแลงออกมาด้านนอกในพริบตา
สวี่ชิงไม่วอกแวก ยกมือขวาบรรจงวาดอย่างรวดเร็ว
ใช้อสูรสมุทรบรรพกาลเป็นกระดานวาดภาพ ใช้ความทรงจำของตนเป็นสีสัน ใช้สัมผัสของตนเองเป็นพู่กัน วาดดาบตัดวิถีบนตัวอสูรสมุทรบรรพกาลทีละขีดทีละเส้น
เวลาไหลผ่านไป ดาบตัดวิถีฟาดลงมาจากบนท้องฟ้า นักโทษต่างเผ่าคนนั้นยิ้มขื่น พลังบำเพ็ญสลายหายไป ร่างร่วงลงสู่พื้นดิน หายใจรวยริน
และสวี่ชิงยังวาดไม่เสร็จสิ้น เขายังคงวาด
เพียงแต่…ในฐานะที่ดวงชีพอสูรสมุทรบรรพกาลเป็นกระดานวาด หลังจากแบกรับการคัดลอกและการสลักกฎเกณฑ์ของสวี่ชิงทีละขีดทีละเส้น ร่างก็ค่อยๆ รับไม่ไหว ทำท่าจะแตกสลาย เกิดรอยปริแตกหลายทางขึ้น แผ่ลามไปทั้งร่าง เหมือนกำลังจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
มันส่งเสียงครางอื้ออึง
สวี่ชิงขมวดคิ้ว มองดวงชีพอสูรสมุทรบรรพกาล เขารู้ว่านี่เป็นเพราะระดับของอสูรสมุทรบรรพกาลยังไม่เพียง แต่จะเปลี่ยนไปใช้สิ่งอื่น ก็ไม่สอดคล้องกับสิ่งที่สวี่ชิงคิด
หลังจากครุ่นคิด ตะเกียงแห่งชีวิตสองดวงในร่างสวี่ชิงก็กางฉัตรออกมาทันที คลุมดวงชีพอสูรสมุทรบรรพกาลเอาไว้ สะกดลงมาอย่างรุนแรง
ทั้งร่างดวงชีพอสูรสมุทรบรรพกาลสั่นเทา ขณะที่มีตะเกียงแห่งชีวิตปกปักรักษา ก็พอฝืนสงบลงได้บ้าง
แต่ก็ยังไม่เพียงพอ
สวี่ชิงครุ่นคิด วังสวรรค์วังที่สามก็สั่นคลอน ลูกกลอนพิษต้องห้ามแผ่ไอพลังประหลาดออกมาสนับสนุนดวงชีพอสูรสมุทรบรรพกาล
สวี่ชิงควบคุมไอพลังประหลาดนี้ไว้ ไม่ให้มันร้ายอสูรสมุทรบรรพกาล
หนึ่งวัน สองวัน สามวันผ่านไปเช่นนี้…
พลังกฎเกณฑ์ที่ร่างของเขาแบกรับไม่ได้บดขยี้ร่างกายของเขาจนแตกดับ เป็นเพราะ…การสลักแต่ละครั้งจะประทับระเบียบและกฎเกณฑ์ไปที่ดวงชีพอสูรสมุทรบรรพกาลอย่างต่อเนื่อง
ดวงชีพอสูรสมุทรบรรพกาลช่วยแบ่งเบาภาระ
ขณะเดียวกันสิ่งที่ได้รับจากความล้มเหลวในสองเดือนนี้ก็กำลังสำแดงออกมาในวินาทีนี้
เหมือนกับสารอาหาร ทำให้สวี่ชิงยิ่งชำชองการประทับดาบตัดวิถีนี้ยิ่งขึ้น
ช่วงนี้อสูรสมุทรบรรพกาลก็เริ่มรับไม่ไหวขึ้นอีกครั้ง เคล็ดวิชาระดับจักรพรรดิของสวี่ชิงจึงช่วยสนับสนุน
เจ็ดวัน สิบวัน…
อสูรสมุทรบรรพกาลคร่ำครวญ ร่างยิ่งสั่นสะท้าน ทุกครั้งที่สวี่ชิงสลักลงไปทำให้มันเลือนรางลง ต่อให้จะมีการสนับสนุนมากมาย แต่ก็มาถึงขีดจำกัดแล้ว
และสวี่ชิงก็รู้ดีว่าหากดวงชีพอสูรสมุทรบรรพกาลสลายไป ตนก็จะได้รับผลพวงไปด้วย
แต่ด้วยนิสัยเหี้ยมโหดของสวี่ชิง ตอนนี้ดวงตาวาวโรจน์ วังสวรรค์วังที่สี่คลอนไหว พลังพระจันทร์สีม่วงแผ่ซ่าน และใช้พลังเทพเจ้านี้ผสานเข้าไปสนับสนุนอสูรสมุทรบรรพกาลอีกครั้ง
อสูรสมุทรบรรพกาลสั่นไปทั้งร่าง สวี่ชิงก็ลงมือวาดอีกครั้ง
หลังจากผ่านไปครึ่งเดือน ตอนที่อสูรสมุทรบรรพกาลแบกรับมาถึงขีดจำกัด ในที่สุดสวี่ชิงก็ลงเส้นสุดท้ายเสร็จ
สวี่ชิงก็กระอักเลือดสดออกมาคำใหญ่จากการจรดเส้นสุดท้าย หยดลงมาบนร่างอสูรสมุทรบรรพกาล ราวกับวาดมังกรแต้มนัยน์ตา[1] ทำให้อสูรสมุทรบรรพกาลสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง เปล่งแสงสีเลือดออกมา ราวกับได้รับการประทานจิตวิญญาณให้
เวลานี้สวี่ชิงหมดเรี่ยวหมดแรง แสดงความอ่อนล้าออกมา
ครึ่งเดือนนี้ เขาไม่เคยใช้พลังจิตมหาศาลเช่นนี้มาก่อน แต่เวลานี้ดวงตาเขากลับเปล่งประกายอย่างยิ่ง
ดวงชีพอสูรสมุทรบรรพกาลตรงหน้า ก็มีขนาดใหญ่ขึ้น ร่างของมันมีเส้นแสงเจิดจ้าออกมาหลายสาย เส้นแสงเหล่านี้แผ่ลามไปทั่วร่าง ระหว่างที่เปล่งแสงเจิดจ้าก็แฝงกฎเกณฑ์บางอย่างไว้ด้วย
ทุกชั่วขณะชั่วอึดใจ จำนวนเส้นแสงที่หยุดนิ่งกะพริบพร้อมกัน นอกจากนี้ ยังมีอักขระตราประทับนับไม่ถ้วนแผ่กลิ่นอายบรรพกาลออกมาจากร่างอสูรสมุทรบรรพกาล
ใหญ่บ้างเล็กบ้าง เดี๋ยวสว่างเดี๋ยวมืด รูปร่างแตกต่างกัน
ทั้งหมดนี้ทำให้อสูรสมุทรบรรพกาลตอนนี้ ในที่สุด…กลิ่นอายที่มีอยู่ของวิถีสวรรค์ทั้งสี่ดั้งเดิมที่สวี่ชิงเห็นด้านนอกโลกใบเล็กเหล่านั้นก็ปรากฏขึ้นมาเล็กน้อย
แม้จะแค่เล็กน้อย แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้ตื่นตะลึง
‘ในที่สุดก็สำเร็จเสียที!’
สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก กฎเกณฑ์ที่แฝงอยู่ในดาบตัดวิถีนั่นมากเกินไป ต่อให้ตัวเขามีการสัมผัสรับรู้ที่น่าตกตะลึง แต่ถึงอย่างไรพลังบำเพ็ญก็มีขีดจำกัด จึงประทับดาบได้เพียงหนึ่งส่วน

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา