เข้าสู่ระบบผ่าน

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา นิยาย บท 556

บทที่ 556 บางคำโกหกก็เรียกว่าความหวัง (2)

“ข้าไม่มีหินวิญญาณมากถึงเพียงนั้น”

สวี่ชิงกล่าวตามความจริง เขามีตั๋ววิญญาณมากมาย แต่หินวิญญาณบนตัวมีอยู่ไม่เท่าไร จึงล้วงอาวุธเวทชิ้นหนึ่งออกมาวางข้างๆ

“ขอใช้สิ่งนี้ค้ำไว้ก่อน”

ชายชรากวาดตามอง ยกมือคว้ามา พยักหน้า

“ก็ได้”

พูดจบ แววตาเขาก็เปล่งประกายเยือกเย็น น้ำเสียงแฝงจิตสังหาร เอ่ยช้าเนิบ

“เห็นแก่เจ้าที่เป็นเผ่ามนุษย์ ครั้งนี้ข้าถึงช่วยเจ้า แต่เจ้าฟังให้ดี ด้านนอกถ้ำหินนี้ล้วนเป็นพื้นที่ต้องห้าม หากเจ้าบุกรุกเข้าไป…ก็อย่าตำหนิข้าว่าไม่เห็นใจเผ่ามนุษย์ด้วยกัน!”

สวี่ชิงได้ยินก็พยักหน้า

ชายชรามองสวี่ชิงอย่างล้ำลึกผาดหนึ่ง หันหลังร่างไหววูบ หายไปจากในถ้ำหิน

สวี่ชิงสีหน้าปกติ หลังจากสำรวจไปรอบๆ มั่นใจว่าที่นี่ไม่มีปัญหา รูปปั้นเหล่านั้นสวี่ชิงก็มองออกว่าเก่าแก่มาก ในบรรดานี้ไม่มีเผ่ามนุษย์ แต่เป็นมังกรอสรพิษเลื้อยวนร่าง ฉายแววก้าวร้าวออกมา

แม้ไม่สมประกอบเลยสักชิ้น แต่มองรวมๆ คลับคล้ายคลับคลาว่าตอนที่รูปปั้นเหล่านี้ยังคงสมบูรณ์ครบถ้วนล้วนอยู่ในท่ากราบไหว้บูชา และที่แห่งนี้ก็มืดมนเยือกเย็น ยิ่งคล้ายกับสุสานแห่งหนึ่ง

‘หรือว่าเดิมทีที่นี่จะเป็นสุสาน’

สวี่ชิงคล้ายครุ่นคิด หารูปปั้นตัวหนึ่ง ตอนที่นั่งลงขัดสมาธิ หลิงเอ๋อร์ก็มุดออกมาจากในแขนเสื้อมองไปรอบๆ เช่นกัน เอ่ยเสียงแผ่วเบา

“พี่สวี่ชิง เหมือนที่นี่จะเกี่ยวข้องกับเผ่าวิญญาณบรรพกาลของพวกข้าเลยเจ้าค่ะ”

สวี่ชิงใจกระตุก มองไปทางหลิงเอ๋อร์

หลิงเอ๋อร์มองรอบๆ อย่างละเอียด เอ่ยเสียงเบา

“พี่สวี่ชิง รูปปั้นเหล่านั้น เป็นรูปปั้นของเผ่าวิญญาณบรรพกาลจริงๆ เผ่าของพวกเราตอนเด็กๆ จะเป็นงู เมื่อเติบโตถึงจะแปลงร่างเป็นคน หากสายโลหิตเข้มข้น เช่นนั้นหลังจากพลังบำเพ็ญทำลายพันธนาการได้ ก็จะมีมังกรสวรรค์เคียงกาย นับจากนั้นจะมีมังกรอสรพิษคุ้มครอง อยู่ยงคงกระพัน

“จากลักษณะที่นี่ เป็นสุสานของนักปราชญ์สักคนของเผ่าข้า

“ปกติแล้ว สุสานของเผ่าข้ามีหลายชั้น ด้านล่างนี้น่าจะมีห้องสุสานที่ใหญ่ยิ่งกว่า ที่นี่เป็นแค่ชั้นแรกเท่านั้นเจ้าค่ะพี่สวี่ชิง

“ข้าสัมผัสได้ ว่าผนึกต้องห้ามของสุสานยังอยู่ พี่สวี่ชิง ข้าสามารถเปิดทางเข้าชั้นต่อไปได้เจ้าค่ะ” หลิงเอ๋อร์ส่งเสียงออกมาอย่างร่าเริง นางรู้สึกว่าในที่สุดตนก็ช่วยเหลือพี่สวี่ชิงได้แล้ว

เมื่อสวี่ชิงได้ยินก็มองรอบๆ อย่างละเอียด จากนั้นก็ลูบไปที่หัวของหลิงเอ๋อร์ เอ่ยเสียงแผ่วเบา

“ไม่ต้องเปิดหรอก ในเมื่อเจ้าของของที่นี่ไม่ต้องการให้พวกเรารบกวน พวกเราก็อยู่ที่นี่รอให้เพลิงสวรรค์สิ้นสุดแล้วจากไปก็พอ”

สวี่ชิงเป็นคนที่รู้จักขอบเขต ในเมื่อทั้งสองฝ่ายเจรจาต่อรองกัน เช่นนั้นเว้นเสียแต่จำเป็นจริงๆ เขาก็ยินดีที่จะรักษาข้อตกลง

หลิงเอ๋อร์คล้ายครุ่นคิด นางรู้สึกว่าวิธีการของพี่สวี่ชิง แตกต่างกับท่านพ่อของนาง จึงจดจำเรื่องนี้ เตรียมเรียนรู้ต่อเล็กน้อย

เวลาไหลผ่านไปครึ่งเดือน

เพลิงสวรรค์ด้านนอกยิ่งทวีความน่ากลัว แผดเผาฟ้าดิน ไร้ซึ่งสรรพสิ่ง สรรพชีวิตสั่นกลัว

มองไกลๆ ราวกับโทสะเทพเจ้า น่าครั่นคร้ามยิ่ง

เสียงครืนครันรุนแรงกว่าทัณฑ์สวรรค์ ทั้งทะเลเพลิงสวรรค์ลดฮวบมหาศาล หินหนืดถูกสูดเข้าไปในท้องฟ้าเป็นจำนวนมาก ส่วนแขนขาดนั้นก็จากไปไกลแล้ว

ในหลุมร้าง ด้านในสุสานใหญ่เผ่าวิญญาณบรรพกาล สวี่ชิงยังคงรักษาสัญญา ไม่ออกไปจากถ้ำหินแม้แต่ก้าวเดียว เขาฝึกบำเพ็ญอยู่ตลอด ส่วนตวนมู่ฉางก็ไม่ปรากฏตัวอีกเลย ทุกอย่างสงบเรียบร้อย

หลิงเอ๋อร์ก็เชื่อฟังมาก ไม่ออกไปค้นหาชั้นที่ลึกกว่า สำหรับนาง ขอแค่ได้อยู่ข้างๆ พี่สวี่ชิงก็พึงพอใจมากแล้ว

เพียงแต่บางครั้ง นางจะรู้สึกว่าตนไม่ค่อยมีประโยชน์

‘ข้าก็ต้องรีบย่อยพลังดวงชะตาเผ่าจักรพรรดิวิญญาณบรรพกาลในร่างกาย เร่งยกระดับสายโลหิตแล้ว’ หลิงเอ๋อร์คิดในใจเช่นนี้ และกำลังทำเช่นนี้อยู่

ส่วนการฝึกบำเพ็ญของสวี่ชิงที่นี่ ในวันที่สิบเจ็ดก็ถูกผู้ที่เข้ามาเยือนขัดจังหวะ

จากแสงค่ายกลที่สว่างวาบบนพื้นแห่งหนึ่งในถ้ำหิน เงาร่างหนึ่งก็รีบเดินออกมาจากด้านในอย่างระมัดระวัง

สวี่ชิงลืมตาทั้งสอง จำได้ว่านี่คือคนที่เขาช่วยชีวิตตอนที่สลบใกล้ตายเมื่อครึ่งเดือนก่อน ตอนอีกฝ่ายยังดูอ่อนล้า แต่ก็ไม่เป็นอะไรมากแล้ว

เห็นได้ชัดว่าชุดเกราะนั้นมีประโยชน์อย่างมาก ทั้งตวนมู่ฉางจะต้องช่วยรักษาคนผู้นี้เป็นแน่

เพียงแต่พิษเพลิงบนตัวเขายังยากจะขจัดไปได้ อีกทั้งหลายจุดก็ถูกเผาไหม้จนเกรียมแห้ง มีแถบหนึ่งที่แดงเป็นสีเลือด จนผิวหนังไม่อาจฟื้นฟูกลับมาได้ น่าเกลียดน่ากลัวเล็กน้อย

ตอนที่สวี่ชิงมองไป ชายหนุ่มเผ่ามนุษย์คนนี้ก็ใบหน้าตื่นตกใจ สาวเท้ามาหาสวี่ชิงสองสามก้าวก็คุกเข่าลง

“ผู้เยาว์สือพั่นกุย ขอบคุณผุ้อาวุโสที่ช่วยชีวิต!”

สวี่ชิงพิจารณาชายหนุ่มผู้นี้หลายรอบ ชื่อของอีกฝ่ายค่อนข้างประหลาด แต่เขาก็ไม่ได้ถามอะไร เอ่ยเสียงราบเรียบว่า

“ไม่เป็นอันใด ต่อให้ข้าไม่ลงมือ ผู้อาวุโสตวนมู่ก็จะช่วยเจ้าอยู่ดี”

ชายหนุ่มเผ่ามนุษย์ยังคงคารวะ หลังจากโขกศีรษะให้สามครั้ง เขาก็ลุกขึ้นมองสวี่ชิง เอ่ยอย่างตึงเครียดเล็กน้อย

“ไม่ว่าอย่างไร ก็เป็นผู้อาวุโสที่ลงมือช่วยเหลือ บุญคุณนี้จะสลักไว้ในจิตใจของผู้เยาว์ขอรับ”

พูดพลาง เขาก็หยิบกล่องอาหารใบหนึ่งออกมาจากอก วางไว้ข้างๆ

“ผู้เยาว์ทราบว่าผู้อาวุโสพลังบำเพ็ญสูงส่งลึกล้ำ ส่วนผู้เยาว์ก็ไม่มีสิ่งของที่มีมูลค่า นี่เป็นอาหารที่ภรรยาของข้าทำ ขอบพระคุณผู้อาวุโสมากขอรับ!”

ชายหนุ่มเผ่ามนุษย์พูดจบ ก็ลุกขึ้นคารวะสวี่ชิงอีกครั้ง หลังจากถอยไปอย่างนอบน้อม ก็หายกลับเข้าไปในค่ายกล

สวี่ชิงมองกล่องอาหารใบนั้น ด้านในใส่ขนมอบที่ปลุกสุกเรียบร้อยแล้วบางส่วน ส่งกลิ่นหอมหวน ดูประณีตมาก เพียงมองก็รู้ว่าตระเตรียมมาอย่างตั้งอกตั้งใจ

ด้วยความรู้วิถีพิษของสวี่ชิง เพียงดมก็รู้แล้วว่ามีพิษหรือไม่ ตอนนี้เมื่อเห็นว่าไม่เป็นอะไร เขาก็ยกมือขึ้น เห็นว่าหลิงเอ๋อร์กำลังกลืนน้ำลาย ตนจึงกินหนึ่งคำ หลังจากยืนยันอีกครั้ง ก็ยื่นให้หลิงเอ๋อร์ชิ้นหนึ่ง

หลิงเอ๋อร์กินลงไป ดวงตาก็หยี

“ฟ่อฟ่อ”

เห็นได้ชัดว่ารสชาติไม่เลว หลิงเอ๋อร์จึงอดส่งเสียงตอนเด็กๆ ออกมาไม่ได้

เห็นหลิงเอ๋อร์ชอบ สวี่ชิงก็ยิ้ม แล้วส่งให้หลิงเอ๋อร์ทั้งหมด

บทที่ 556-2 บางคำโกหกก็เรียกว่าความหวัง (2) 1

บทที่ 556-2 บางคำโกหกก็เรียกว่าความหวัง (2) 2

Verify captcha to read the content.ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา