บทที่ 589 ความหิวโหยที่มาจากอำนาจพระจันทร์สีชาด
………………..
นกแก้วโอดครวญในใจ แต่ปากกลับไม่กล้าก่นด่าต่อ ทว่าอ้อนวอนเจือสะอื้น
“ท่านอาจารย์ลุงข้าไม่ไหวแล้วจริงๆ ไปต่อไม่ได้แล้ว ท่านไว้ชีวิตข้าเถิด…”
สวี่ชิงเมองนกแก้วผาดหนึ่ง
“ท่านอาจารย์ลุง ข้าๆ…ข้าส่งข้ามด้วยการใช้ขนนกจากร่างกายตัวเอง ข้ายังเด็ก ยังไม่โต ท่านดูตัวข้าตอนนี้เหลืออยู่ไม่กี่เส้นแล้ว หากนกตัวอื่นมาเห็นข้าจะหัวเราะเยาะข้านะขอรับ”
นกแก้วร้องไห้ออกมา จุดนี้มันไม่ได้พูดโกหก มันส่งข้ามด้วยขนนกจริง และเมื่อก่อนมันก็ภูมิใจกับขนเงางามห้าสีของตนมากมาตลอด
บางครั้งได้เจอกับนกตัวอื่น มันก็จะรู้สึกภาคภูมิใจ ดูถูกพวกที่ขนรกรุงรังแปลกประหลาดเหล่านั้น
ในความรู้ความเข้าใจของมัน ตนคือนกที่สวยที่สุดในฟ้าดินนี้เพียงหนึ่งเดียว
แต่บัดนี้…มันก้มหน้ามองร่างกายโล้นเลี่ยนของตัวเอง ความโกรธเคืองแผ่ปกคลุมทั้งหัวใจ
สวี่ชิงได้ยินก็เงยหน้าขึ้นสัมผัสระลอกคลื่นที่ไล่ตามมาไกลๆ จากนั้นก็กวาดตามองขนที่เหลืออยู่สิบกว่าเส้นบนตัวนกแก้ว
“ยังมีอยู่อีกตั้งหลายเส้นไม่ใช่รึ”
เขามือขวาบีบต่อ
“เจ้าไม่ตายดีแน่” นกแก้วโอดครวญ ส่งข้ามอีกครั้ง พาสวี่ชิงหายไปท่ามกลางลมทรายสีขาว มีเพียงขนเส้นหนึ่งร่วงลงมา กลายเป็นฝุ่นผงถูกพัดสลายไป
พริบตาต่อมา ร่างของสวี่ชิงก็ปรากฏขึ้นไกลออกไปอีกหลายร้อยลี้ ไม่รอให้นอกแก้วเอ่ยปาก สวี่ชิงก็บีบอีกครั้ง
เสียงกรีดร้องน่าเวทนา ดังก้องไม่หยุด…
หลังผ่านไปสิบกว่าครั้ง ตอนที่ขนนกแก้วเหลือเพียงเส้นเดียว ในที่สุดสวี่ชิงก็สลัดเผ่าประหลาดที่ไล่ตามมาในสายลมขาวนี้หลุดด้วยการช่วยเหลือของนกแก้ว ปรากฏตัวที่ชายแดนของทะเลทรายคราม
จะข้ามชายแดนของทะเลทรายอีกไม่ถึงสามสิบลี้
ส่วนสายลมขาวที่นี่เบาบางกว่าส่วนลึกของทะเลทรายมาก ดอกผูกงอิงที่ล่องลอยก็น้อยลงมากเช่นกัน
ส่วนเจ้านกแก้ว ยามนี้เป็นอัมพาตอยู่ในมือสวี่ชิงราวกับเป็นก้อนเนื้อก้อนหนึ่ง สีหน้าหมดอาลัยตายอยาก หน้าซีดขาวราวกับตายไปแล้ว บนตัวของมันก็แดงเป็นจ้ำจุดเล็กๆ อยู่นับไม่ถ้วน
ทุกจุดเล็กๆ เคยมีขนนกงอกเรียงราย แต่ตอนนี้…เหลืออยู่เพียงเส้นเดียว ชี้โด่ชี้เด่อยู่บนปีกของมันเพียงลำพัง
เห็นว่าเหลือขนอยู่เพียงเส้นเดียว เจ้านกแก้วก็เหม่อลอย ไม่กี่เดือนก่อนที่มันจะออกเดินทาง มันก็ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าการเดินทางครั้งนี้จะมอบประสบการณ์เช่นนี้ให้กับมัน
“ขอบใจเจ้ามาก” สวี่ชิงมองนกแก้วผาดหนึ่ง เอ่ยเสียงแผ่วเบา
หากเขาไม่กล่าวขอบคุณคงจะดีกว่านี้ เมื่อกล่าวออกมาเช่นนี้ เจ้านกแก้วก็ร่ำไห้อีกครั้ง
“ขนของข้า…แล้วหลังจากนี้ข้าจะหาคู่ได้อย่างไร นกตัวอื่นจะต้องดูถูกข้าแน่…”
สวี่ชิงรู้สึกว่านกแก้วตัวนี้มีประโยชน์มาก ในใจขบคิดว่าหลังจากกลับไปจะพูดคุยกับอู๋เจี้ยนอูสักหน่อยดีหรือไม่ ขอยืมใช้สักสิบยี่สิบปี ไม่รู้ว่าขนของอีกฝ่ายจะงอกขึ้นมาใหม่หรือเปล่า จึงเอ่ยปลอบเล็กน้อย
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวมันก็งอกใหม่”
“ถึงจะงอกได้ แต่มันก็ช้ามากๆๆ…” เจ้านกแก้วร่ำไห้ต่อ
สวี่ชิงคล้ายครุ่นคิด
และขณะที่นกแก้วสะอึกสะอื้น ขนเส้นเดียวบนปีกก็โบกไปมาไม่หยุด หลิงเอ๋อร์เห็นแล้วก็ใจอ่อน
“พี่สวี่ชิง นกแก้วน้อยก็น่าสงสารนะเจ้าคะ เหลือขนแค่เส้นเดียวแล้ว พวกเราไม่ได้คิดถึงความรู้สึกของมันเลยจริงๆ”
นกแก้วได้ยินก็ซาบซึ้ง กำลังจะพยักหน้า หลิงเอ๋อร์ก็ถอนหายใจเบาๆ
“อันที่จริงแบบนี้น่าเกลียดยิ่งกว่าอีก ไม่อย่างนั้นข้าว่าพวกเราส่งข้ามอีกครั้งเถอะเจ้าค่ะพี่สวี่ชิง”
นกแก้วได้ยินก็ถลึงตาโต โมโหเดือดดาลทันที ตะคอกหลิงเอ๋อร์
“เจ้าค้างคาวปักขนไก่ เจ้ามันนกอะไรกันแน่!
“มีพี่ใหญ่ มีน้องรอง แล้วเจ้ามันคนที่เท่าไรกัน!
“เจ้าลิงท้องเสีย ไอ้ไส้เน่า!!”
หลิงเอ๋อร์หดกลับเข้าไปในคอเสื้อสวี่ชิง เอ่ยเสียงเบาอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ
“พี่สวี่ชิง มันดุจังเลยเจ้าค่ะ แต่ก็ไม่โทษนกแก้วน้อยหรอก มันยังเด็ก น่าจะเป็นเพราะข้าพูดผิดไป…”
เมื่อเจ้าเงาได้ยินเข้าก็แผ่ขยายทันทีน ปกคลุมรอบๆ นกแก้ว แผ่จิตปฏิปักษ์ออกมา
บรรพจารย์สำนักวัชระก็ลอยออกมาพลัน เล็งไปที่เจ้านกแก้ว
นกแก้วตัวสั่นเทิ้ม ในใจยิ่งเศรเสยใจ เวลานี้มันคิดเพียงอย่างเดียวก็คือกลับไปหาบิดาให้ไวที่สุด มันคิดถึงบิดาแล้ว
สวี่ชิงยกมือลูบหลิงเอ๋อร์ ไม่สนเจ้านกแก้ว แต่หันหน้ามองไปไกลๆ ส่วนลึกในดวงตาหม่นแสงลง เขาสัมผัสได้ถึงพลังที่คุ้นเคยจากทางนั้น
“เจ้าเงา”
สวี่ชิงเอ่ยราบเรียบ
เจ้าเงาไหววูบไปอย่างรวดเร็ว หลังจากสัมผัสได้ร่างกายก็บิดเบี้ยว จำแลงเป็นเค้าโครงของชายชราผู้หนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้นด้านหลังชายชรายังจำแลงพระจันทร์สองดวง คล้ายกำลังไล่โจมตี
“หลี่โหยวเฝ่ย?”
สวี่ชิงพึมพำ ในทะเลทรายครามนี้ เขาทำได้แค่ทิ้งเนตรเงาไว้ที่ร่างอีกฝ่าย ยามนี้สัมผัสได้ถึงคลื่นพลัง และเป็นคนผู้นี้จริงๆ
ครุ่นคิดอยู่หลายอึดใจ สวี่ชิงก็ไหววูบ เข้าใกล้จุดที่มีคลื่นพลังนั้น
ตอนแรกที่เขาไม่สังหารหลี่โหยวเฝ่ย หลังจากทิ้งเนตรเงาไว้ก็ให้เจ้าเงาคอยจับตาดู อีกฝ่ายทำตามที่พูดจริงๆ มีศีลธรรมมากกว่าเล่ห์เหลี่ยม ยิ่งไม่สลายร่องรอยของตน
ดังนั้นต่อมาสวี่ชิงจึงเก็บจิตสังหาร ให้เจ้าเงาคอยจับตาดูต่อ ส่วนตนเองก็จดจ่ออยู่กับการค้นคว้าคำสาปต่อไป
ตอนนี้ในเมื่อเจอแล้ว อีกทั้งยังถูกผู้แข็งแกร่งตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดไล่ล่า สวี่ชิงจึงคิดจะไปดูเสียหน่อย ที่สำคัญที่สุดคือทาสเทวะพระจันทร์สีชาดที่แยกตัวมาอยู่กันสองคน โอกาสเช่นนี้เจอไม่บ่อยนัก
และหลังจากที่สวี่ชิงศึกษาคำสาปจากอสูรร้ายไปมากมาย เขาก็อยากศึกษาร่างกายของผู้บำเพ็ญตำหนักเทพบ้าง
“ตามที่ข้าวิเคราะห์ในช่วงครึ่งปีกว่านี้ บางทีในร่างกายผู้บำเพ็ญตำหนักพระจันทร์สีชาดอาจจะไม่มีคำสาป หรือคำสาปอาจจะน้อยมาก และความเป็นไปได้ที่มากกว่าคือข้าสามารถสูดรับมันได้…”
สวี่ชิงเลียริมฝีปาก พรางกายไปกับสายลม เตรียมตัวออกล่า
ไกลออกไปหลายสิบลี้ ที่ชายแดนของทะเลทรายคราม สัตว์ประหลาดเลือดเนื้อตัวหนึ่งกำลังพุ่งทะยาน
ร่างกายของมันใหญ่โตถึงห้าจั้งราวกับภูเขาเลือดเนื้อขนาดยักษ์ตัวหนึ่ง บนตัวมีแขนงอกออกมาสิบกว่าท่อน และมีเนื้องอกที่ดูเหมือนศีรษะอีกเจ็ดแปดหัว
ในบรรดาเนื้องอกที่ห้อยลงมาตรงส่วนหน้าอก ก็มีใบหน้าที่ผิดแปลกจากใบหน้าเดิมไปอย่างสิ้นเชิงดวงหนึ่งอยู่
มองอย่างละเอียด จะเห็นว่านั่นคือหลี่โหยวเฝ่ย

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา