บทที่ 829 ประตูแห่งความเป็นความตาย
เสียงเย็นชาของสวี่ชิงก้องกังวานไปทั่วพื้นที่ต้องห้าม ทุกที่ที่เสียงของเขาเคลื่อนผ่านไปเปรียบดั่งสายลมแห่งความตายพัดผ่านโลกมนุษย์ เสมือนดวงไฟนรกดูดวิญญาณ
ยิ่งไปกว่านั้น พลังมหาศาลหลั่งไหลมารวมอยู่บนร่างของเขาที่นั่งอยู่บนเขาลูกที่เก้า เส้นวิญญาณสีแดงนับไม่ถ้วนแผ่ขยายออกไปจากแผ่นหลัง สีแดงฉานราวกับเลือด ราวกับปีศาจ
ตะเกียงเจ็ดดวงที่กลายเป็นใบหน้าปีศาจกระจายไปออกจากกายเขา ลอยวนเวียนไปรอบๆ ดูแปลกประหลาดน่าขนลุกขนพอง
เมื่อรวมกับใบหน้าอันคมคาย เรือนผมพลิ้วไหว สวี่ชิงในขณะนี้หาใครเทียมไม่มี
พลานุภาพอันยิ่งใหญ่กลืนกินแผ่นดิน เปลี่ยนสีท้องฟ้า ลมพายุพัดกระหน่ำ
ภาพนี้อยู่ในสายตาของเทียนหลิงจื่อ จิตใจเขาพลันปั่นป่วนอย่างอดไม่ได้ เสียงฟ้าร้องดังกึกก้องในหัว สีหน้าเปลี่ยนไปฉับพลัน ความรู้สึกแห่งความเป็นความตายที่ไม่เคยประสบมาก่อนแล่นเข้าปะทะร่างกาย ราวคลื่นทะเลคลั่ง
ตรงเข้าทำลายจิตใจราวกับภูเขาถล่ม คล้ายกับว่าทุกส่วนในร่างกาย กระดูกทุกชิ้นต่างส่งเสียงกรีดร้องเสียดแทงวิญญาณของเขาในเวลานี้
อันตราย อันตราย อันตราย!
การรับรู้ สติสัมปชัญญะทั้งปวงต่างส่งสัญญาณอันตราย และในที่สุดก็หลอมรวมเป็นคลื่นลูกใหญ่
วงแหวนควันธูปหอมรอบตัวเขากระเพื่อมไหว บิดเบี้ยว
ความรู้สึกนี้ทำให้เทียนหลิงจื่อหายใจหอบ ร่างกายที่กำลังก้าวไปข้างหน้าหยุดชะงัก สัญชาตญาณบอกให้ถอยกลับ คิดแต่ต้องหนีจากเผ่ามนุษย์ประหลาดผู้นี้
แต่มันสายไปเสียแล้ว
สวี่ชิงมองเทียนหลิงจื่ออย่างเย็นชา วางมือลง หมอกพิษที่ปกคลุมเขาลูกที่เก้าพวยพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อตัวเป็นกระแสวน ส่งเสียงคำรามไปทั่วสารทิศ
พายุหมอกพิษสีดำ แผ่ขยายแผ่กระจายความโหดเหี้ยมและความหวาดกลัว บดบังท้องฟ้า เปลี่ยนเป็นใบหน้าปีศาจยักษ์ อ้าปากกว้าง โถมตัวลงไปยังที่เตาธูปหอมเหนือศีรษะเทียนหลิงจื่อ
และการกดทับนี้ยังไม่จบสิ้น การรุกรานของหมอกพิษรุนแรงขึ้น มันโถมทับลงมาอีกครั้ง หมุนวนไปมาตัดทางหนีทีไล่ทั้งหมดของเทียนหลิงจื่อทุกทาง
ในขณะเดียวกัน เจ็ดตะเกียงที่ส่องแสงในร่างกายของสวี่ชิก็กระพริบวูบวาบ สะท้อนภาพเทียนหลิงจื่อ จากนั้น…ตะเกียงก็ดับลงหนึ่งดวง
ในขณะที่ตะเกียงดับลง ม่านตาของเทียนหลิงจื่อหดตัว คลื่นลูกใหญ่ถาโถมจิตใจ ความรู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรงส่งมาจากอวัยวะภายใน ราวกับมีกริชคมกริบโปร่งใสไร้รูปทรง แทงทะลุร่างกาย
เสียงกรีดร้องโหยหวนดังออกมาจากปากเขา
หลังจากกระอักเลือดออกมาเจ็ดถึงแปดระลอก อาการก็ยังไม่ทุเลา ด้วยอารามตกใจ ความมาดมั่นทั้งปวงหายไปหมดสิ้นขณะที่ร่างกายเซถลา สภาพดูไม่เหมือนคนที่เคยสวมใส่อาภรณ์ชั้นดีอีกต่อไป เสื้อทั้งผืนถูกปกคลุมด้วยคราบสกปรกไร้ที่มา ราวกับมดถูกบี้กับพื้นดิน
ร่างกายปรากฏสัญญาณแห่งความชราชั่วพริบตา ดวงไฟแห่งชีวิตมอดลงราวกับถูกปกคลุมด้วยฝุ่นละออง
“เจ้า…” เทียนหลิงจื่อจิตใจปั่นป่วน สวี่ชิงดับตะเกียงดวงที่สอง
ในขณะที่ตะเกียงดับลง เสียงครวญครางที่น่าเวทนายิ่งกว่าเดิมออกมาจากปากของเทียนหลิงจื่อ ร่างกายปรากฏรอยแตกระแหงมากมาย ทับซ้อนกัน ราวกับจะถูกหั่นเป็นพันๆ ชิ้น เลือดจำนวนมากไหลซึมออกมาจากรอยแตก ย้อมเกล็ดเป็นสีชาด อีกอาภรณ์ทั้งตัว
ผมของเขาร่วงโรยลงทีละเส้น เกล็ดของเขาก็หลุดร่วงเช่นกัน กลายเป็นเถ้าถ่าน
พลังบำเพ็ญลดลงเรื่อยๆ ราวกับถูกช่วงชิง
ความรู้สึกใกล้ตายเล่นงานจิตใจเทียนหลิงจื่ออย่างรุนแรง โชคดีที่พลังของธูปยังคงอยู่ และปกป้องเขาไว้ จึงสามารถสกัดความรู้สึกเจียนตายเอาไว้ได้
แต่ถึงกระนั้นเขาก็ตื่นตระหนก ความหวาดกลัวไร้ที่สิ้นสุด และความตายที่ปกคลุม ทำให้เขารู้สึกเหมือนตนเป็นเรือลำเล็กลอยเคว้งในคลื่นลม พยายามถอยกลับอย่างรวดเร็ว ทุ่มพลังทั้งหมด เผาผลาญตนเองอย่างไม่คิดชีวิต เพื่อหนีออกจากเขาลูกที่เก้าอันแสนน่ากลัวนี้
สวี่ชิงไม่ได้ยกมือขึ้นห้าม เพราะถึงอย่างไร…อีกฝ่ายก็หนีไม่พ้น
เขามองไปยังร่างเทียนหลิงจื่อ มองไปยังธูปที่กำลังสั่นคลอนเหนือศีรษะ ตะเกียงดวงที่สาม ดวงที่สี่ ดวงที่ห้า…ดับลงทีละดวง
ทุกครั้งที่ตะเกียงดับลง เทียนหลิงจื่อที่กำลังถอยหลังก็ส่งเสียงร้องโหยหวน ร่างกายและวิญญาณกำลังเหี่ยวเฉา
ในพริบตา ตะเกียงเจ็ดดวงก็ดับไปหกดวง
ยิ่งไปกว่านั้น เส้นวิญญาณนับล้านเส้นพุ่งออกมาจากด้านหลังของสวี่ชิง ตรงไปยังธูป
ในที่สุดก็มีเสียงแตกดังขึ้น เตาธูปหอมปรากฏรอยแตก ด้วยการเสริมกำลังของพิษต้องห้าม ตลอดจนคำสาปเพลิงทมิฬเจ็ดตะเกียงของสวี่ชิงและเส้นวิญญาณ สมบัติชิ้นนี้ไม่อาจคงอยู่ได้ และในที่สุดก็ดับวูบลง
วงแหวนควันที่โรยตัวลงมาพลันหยุดชะงัก หายไปหนึ่งวง
พิษต้องห้ามแทรกซึมเข้าไป
ชั่วขณะถัดไป ร่างกายที่กำลังถอยกรูดของเทียนหลิงจื่อพลันสั่นสะท้าน พลัดตกลงมาจากท้องฟ้า กระแทกพื้น
ที่เชิงเขาลูกที่เก้า
นอนนิ่งไม่ไหวติง เหงื่อกาฬหลั่งรินราวกับสายฝน ซ้ำร้ายเหงื่อนี้ยังมีฤทธิ์กัดกร่อน ละลายร่างของเขาไปหว่าครึ่งตัว
ไม่เพียงเฉพาะร่างกายและวิญญาณที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากตะเกียงที่ดับมอด พลังของพิษต้องห้ามเองยังแพร่กระจายไปทั่วร่างกาย กัดกร่อนเนื้อเยื่อ ทำลายหัวใจ ทำให้พลังมืดกระจายไปทั่วร่างของเขา
ความเจ็บปวดที่อธิบายไม่ได้ทำให้เทียนหลิงจื่อสูญเสียเรี่ยวแรงที่จะกรีดร้อง
ความตายแผ่ซ่านไปทั่วร่าง พร้อมกับกลิ่นเหม็นเน่าอบอวล สารพันอารมณ์ ทั้งหวาดกลัว วิตก ตื่นตระหนก ครอบงำทุกสิ่ง
ราวกับโลกในสายตาของเขาสูญเสียชีวิตชีวา ไฟแห่งชีวิตของเขาเหลือเพียงเปลวไฟ
เขาเคยคิดว่าสักวันหนึ่ง เขาก็ต้องตาย แต่ในจินตนาการของเขา นั่นคือหลังจากที่เขาได้กลายเป็นมหาขั้นเตรียมสู่เทวะ ตายในการสงครามร่วมกับเผ่าไป๋เจ๋อ
และในห้วงเวลาที่เขาลาจากโลก จะต้องสลักร่องรอยไว้ในเผ่าพันธุ์ เพื่อให้คนรุ่นหลังได้รู้ว่า ในยุคสมัยหนึ่ง เผ่าพันธุ์ของพวกเขามีผู้แข็งแกร่งนามว่าเทียนหลิงจื่อ
ดังนั้น เหตุการณ์ในวันนี้ เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อน ดังนั้นความคับข้องใจและความบ้าคลั่ง จึงเริ่มแผ่ขยายอยู่ในเปลวไฟแห่งชีวิตของเขา พยายามที่จะรุกไล่เอาคืน
ส่วนสวี่ชิงได้ทำลายความหวังนี้ ดับตะเกียงดวงสุดท้ายในกายตน แล้วหลับตาลง
เมื่อไฟดับลง ราวกับมีลมพัดมา พัดเอาเปลวไฟแห่งชีวิตวูบสุดท้ายของเทียนหลิงจื่อไป
ความคับแค้นทั้งปวง กลายเป็นเสียงสะท้อน
ความบ้าคลั่งทั้งหลายหวนคืนสู่ความสงบ
ตะเกียงดับ คนดับสิ้นเช่นกัน
ซากศพที่เหลืออยู่ที่เชิงเขากลายเป็นเถ้าธุลี พักกระจายไปตามลม ตกลงบนยอดเขาอื่นๆ ตามกระแสเส้นวิญญาณ…


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา